น็อตตัวเล็ก ๆ ที่เราเห็นอยู่ทุกวัน จริง ๆ แล้วซ่อนความซับซ้อนมากกว่าที่คิดค่ะ น้องช่างจำได้เลยว่า ตอนเริ่มจับงานช่างใหม่ ๆ ได้ไปเดินร้านเครื่องมือกับรุ่นพี่ เห็น น็อต เรียงเต็มกล่อง ทั้งหัวหกเหลี่ยม หัวแฉก หัวแบน เต็มไปหมด ก็แอบตื่นเต้นเหมือนเด็กเข้าร้านของเล่นเลยค่ะ แต่พอไปเลือกซื้อก็พูดเหมือนทั่ว ๆ ไป “ขอ น็อต เบอร์ 10 หน่อยค่ะ” แต่…พนักงานหันมาถามกลับแบบสุภาพว่า “ของพี่เป็น M6 หรือ M8 ครับ?” เท่านั้นแหละ... หัวน้องช่างเหมือนถูกขันเกลียวจนตึง “M6 คืออะไร M8 คืออะไร แล้วมันเกี่ยวอะไรกับ น็อต เบอร์ 10 ที่เราพูดไป”คำถามเต็มหัวไปหมดเลย นั่นแหละคือจุดเริ่มต้นของคำถามที่ติดอยู่ในหัวน้องช่างมานานว่า
“ทำไม น็อต ถึงมีทั้งเบอร์ 10 และ M6?”
“แล้วเวลาจะซื้อจริง ๆ เราต้องเลือกแบบไหนถึงจะถูก?”
น้องช่างเลยอยากชวนทุกคนมา “ไขรหัสเบอร์ น็อต ” ไปพร้อมกันค่ะ ระหว่างระบบ M ที่เราเห็นบ่อยในสินค้าแนวญี่ปุ่น–ยุโรป กับระบบเบอร์ที่ยังใช้กันทั่วไปในไทย มันต่างกันยังไงกันแน่? แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเวลาซื้อ น็อต หนึ่งตัว ต้องเลือกเบอร์อะไรถึงจะพอดีกับโบลท์ของเรา

เบอร์ น็อต คืออะไร?
คำว่า “เบอร์ น็อต ” อาจฟังดูเป็นเพียงคำเรียกขนาดธรรมดาที่ได้ยินกันทุกวัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันคือ “รหัสมาตรฐาน” ที่บอกข้อมูลสำคัญทางวิศวกรรม ตั้งแต่ขนาดเกลียว เส้นผ่านศูนย์กลาง ไปจนถึงความสัมพันธ์ระหว่างแรงบิดกับแรงยึด — ซึ่งทั้งหมดนี้คือหัวใจของการเชื่อมต่อชิ้นงานทุกชนิดบนโลก
ตั้งแต่ชั้นเหล็กในบ้าน โครงโต๊ะไม้ ไปจนถึงสะพานขนาดใหญ่ ทุกจุดยึดล้วนมี “เกลียว” เป็นกลไกหลักในการทำให้วัสดุแน่นเข้าหากันอย่างมั่นคง เกลียวของ น็อต และโบลท์คือเส้นเอียงที่พันรอบแกนกลาง เพื่อเปลี่ยนแรงหมุนให้กลายเป็นแรงบิด (Torque) ส่งผลให้เกิดแรงดึงระหว่างสองชิ้นงาน เมื่อแรงบิดพอดี ระบบยึดทั้งหมดจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
แต่ถ้าขนาดของเกลียวไม่ตรงกันแม้เพียงเศษมิลลิเมตร ผลที่เกิดขึ้นกลับมหาศาล — เกลียวอาจไม่สวมกันพอดี ทำให้เกิดอาการ “หวาน” หรือ “กินเนื้อโลหะ” ซึ่งไม่เพียงทำให้ขันไม่แน่น แต่ยังอาจทำลายชิ้นงานทั้งชุดได้ทันที ดังนั้น เบอร์ น็อต จึงไม่ใช่แค่ตัวเลขบนกล่อง แต่คือ “ภาษากลางของงานช่าง” ที่บอกว่าชิ้นส่วนหนึ่งจะเข้ากับอีกชิ้นได้อย่างแม่นยำหรือไม่ ความเข้าใจในรหัสนี้คือพื้นฐานสำคัญของทุกงานยึด ไม่ว่าจะเป็นงานเครื่องจักร งานก่อสร้าง หรืองาน DIY ในบ้าน — เพราะเพียง น็อต ตัวเดียวที่เลือกผิด ก็อาจทำให้โครงสร้างทั้งระบบสั่นคลอน
สองระบบหลักที่ใช้ทั่วโลก
- ระบบเมตริก (Metric) – ใช้หน่วยวัดเป็นมิลลิเมตร (mm) และมีตัวอักษร M นำหน้า เช่น M4, M6, M8 เป็นระบบมาตรฐานสากลที่ประเทศส่วนใหญ่ในเอเชียและยุโรปใช้ รวมถึงประเทศไทยด้วย
- ระบบนิ้ว (Imperial/Unified) – ใช้หน่วยวัดเป็น “นิ้ว” เช่น เบอร์ 8, เบอร์ 10 หรือ 1/4”, 3/8” มักใช้ในเครื่องจักรที่ผลิตในสหรัฐอเมริกาหรืออังกฤษ
เกร็ดเล็กจากประวัติศาสตร์
เดิมแต่ละประเทศเคยมีระบบเกลียวของตัวเอง เช่น อังกฤษมีระบบ Whitworth ที่ใช้มุมเกลียว 55° ส่วนเยอรมนีและฝรั่งเศสใช้เกลียวแบบอื่น จนเกิดปัญหาว่าเครื่องมือและอะไหล่ข้ามประเทศใช้แทนกันไม่ได้เลย ต่อมาประเทศต่าง ๆ จึงร่วมกันกำหนดมาตรฐานกลางในชื่อ ISO Metric Thread (ISO 68-1) ซึ่งใช้ตัวอักษร “M” นำหน้าเพื่อให้เข้าใจได้ทั่วโลก นับแต่นั้นเป็นต้นมา “M” จึงกลายเป็นภาษากลางของช่างทั่วโลกค่ะ
ระบบ | หน่วยวัด | ตัวอย่างรหัส | มุมเกลียว | พบบ่อยใน |
---|---|---|---|---|
Metric (มิลลิเมตร) | mm | M3, M4, M6, M8 | 60° | ไทย, ญี่ปุ่น, ยุโรป |
Unified (นิ้ว) | inch | 1/4”, 3/8”, 1/2” | 60° | สหรัฐฯ, อังกฤษ |
Whitworth (เก่า) | inch | 3/16”, 7/16” | 55° | เครื่องจักรเก่ายุโรป |
ตัว "M" บอกอะไรเรา?
M = Metric Thread ตัวเลขด้านหลังคือ เส้นผ่านศูนย์กลางเกลียว (มม.) เช่น M6 = 6 มม., M8 = 8 มม.
ถ้าเห็น M8×1.25×30 แปลว่า เส้นผ่านศูนย์กลาง 8 มม. • Pitch 1.25 มม. • ความยาวโบลท์ 30 มม.
เกลียวหยาบ vs เกลียวละเอียด
เกลียวไม่ได้ต่างกันแค่ขนาดเท่านั้น แต่ “ลักษณะของการเวียนเกลียว” เองก็มีผลกับสมรรถนะของการยึดติดโดยตรง ในระบบเมตริก (Metric Thread) น็อต แต่ละเบอร์ยังแยกย่อยออกเป็นสองแบบหลัก คือ เกลียวหยาบ (Coarse Thread) และ เกลียวละเอียด (Fine Thread) ซึ่งถูกออกแบบมาให้ตอบโจทย์งานคนละประเภทกัน
เกลียวหยาบ (Coarse Thread)
เป็นเกลียวที่มี “ระยะห่างระหว่างฟัน” มากกว่า หรือที่เรียกว่า Pitch ใหญ่ — หมายความว่า หมุนครบหนึ่งรอบ เกลียวจะเคลื่อนที่ไปข้างหน้ามากกว่าแบบละเอียด
ข้อดี คือ
- ขันง่าย คลายเร็ว
- ไม่หวานง่าย (เพราะเนื้อเกลียวลึกและแข็งแรงกว่า)
- ทนต่อฝุ่น ผง หรือสิ่งสกปรกในงานภาคสนาม
- ใช้งานได้ดีในวัสดุที่มีความแข็งแรงไม่มาก เช่น เหล็กบาง หรืออะลูมิเนียม
- สามารถขันแน่นได้มาก โดยใช้แรงบิดน้อยกว่า
- แรงยึด (Tensile Load) กระจายตัวสม่ำเสมอกว่า
- คลายตัวยาก เหมาะกับงานที่มีแรงสั่นสะเทือน
- ใช้ได้ดีกับชิ้นงานหนา หรือชิ้นส่วนเครื่องจักรที่ต้องการความแน่นสูง
- วัดเส้นผ่านศูนย์กลางเกลียวภายนอกของโบลท์ (เรียกว่า Major Diameter) เช่น ถ้าวัดได้ประมาณ 5.9 มม. ก็เท่ากับ M6
- วัดระยะห่างระหว่างฟันเกลียว (Pitch) ถ้าไม่มีเกจวัดเกลียว ให้ใช้ตาเปรียบเทียบกับ น็อต ที่รู้ขนาดแน่ ๆ อยู่แล้ว
- วัดขนาดหัว น็อต จากเหลี่ยมถึงเหลี่ยม เพื่อดูว่าใช้ประแจเบอร์อะไร เช่น วัดได้ 13 มม. ก็ใช้ประแจเบอร์ 13
จึงมักใช้กับงานทั่วไป เช่น โครงเหล็ก เฟอร์นิเจอร์ งานติดตั้งอุปกรณ์ หรือชิ้นส่วนที่ต้องถอดบ่อย ๆเป็นเกลียวที่ช่างทุกคนคุ้นมือที่สุด เพราะขันลื่น หมุนง่าย และไม่ค่อยมีปัญหา “เกลียวหวาน”
เกลียวละเอียด (Fine Thread)
ส่วนเกลียวละเอียดจะมี ฟันถี่กว่า Pitch เล็กกว่า หมุนหนึ่งรอบจะเคลื่อนที่ช้ากว่าแบบหยาบ แต่แลกมาด้วย “ความแม่นยำสูง”
ข้อดี คือ
จึงนิยมใช้ในงานเครื่องยนต์, งานยานยนต์, เครื่องจักรกล, หรืออุปกรณ์ที่ต้องทนแรงดึงและแรงสั่นตลอดเวลา เช่น สลักเกลียวฝาสูบ, โครงช่วงล่างรถยนต์, หรือข้อต่อท่อแรงดันสูง
บทความที่เกี่ยวข้อง
- สกรู เกลียวหยาบ vs เกลียวละเอียด ต่างกันยังไง? ส่งผลต่อความแข็งแรงจริงไหม
- คู่มือสกรู: เรื่องเล็กๆ ที่คุณต้องรู้
เทียบ “เบอร์ น็อต ไทย” กับระบบ M
ในไทยเรายังได้ยินคำว่า “น็อต เบอร์ 10”, “เบอร์ 12” อยู่บ่อย ซึ่งมาจากระบบนิ้วค่ะ แต่สามารถเทียบขนาดกับระบบ M ได้ประมาณนี้
เบอร์ น็อต (ไทย) | ระบบ M ใกล้เคียง | เส้นผ่านศูนย์กลางเกลียว (มม.) |
---|---|---|
เบอร์ 4 | M3 | 3.0 |
เบอร์ 6 | M4 | 4.0 |
เบอร์ 8 | M5 | 5.0 |
เบอร์ 10 | M6 | 6.0 |
เบอร์ 12 | M8 | 8.0 |
เบอร์ 14 | M10 | 10.0 |
เบอร์ 17 | M12 | 12.0 |
การเทียบนี้เพื่อความเข้าใจเท่านั้น ไม่สามารถใช้แทนกันได้จริง เพราะระบบวัดและมุมเกลียวต่างกันโดยสิ้นเชิง
รู้ขนาด M แล้วใช้ประแจเบอร์ไหน?
บนถุงโบลท์อาจเขียนแค่ M6 หรือ M8 แต่ไม่เคยบอกว่าใช้ประแจเบอร์อะไร นั่นเพราะ “M” หมายถึงเกลียว ไม่ใช่ขนาดหัว น็อต ค่ะ หัว น็อต จริง ๆ ที่เราจับหมุนเรียกว่า Across Flats (AF) ซึ่งถูกกำหนดโดยมาตรฐาน ISO และ JIS เพื่อให้ใช้เครื่องมือร่วมกันได้ทั่วโลก โดยทั่วไป หัว น็อต จะใหญ่กว่าเกลียวประมาณ 3–7 มม. เพื่อให้รับแรงบิดได้มากพอโดยไม่บิดหัวขาดตารางเทียบขนาด น็อต กับประแจที่ใช้
ขนาด น็อต (M) | เส้นผ่านศูนย์กลางเกลียว (มม.) | ใช้ประแจเบอร์ (มม.) |
---|---|---|
M3 | 3.0 | 5.5 |
M4 | 4.0 | 7 |
M5 | 5.0 | 8 |
M6 | 6.0 | 10 |
M8 | 8.0 | 13 |
M10 | 10.0 | 17 |
M12 | 12.0 | 19 |
M14 | 14.0 | 22 |
M16 | 16.0 | 24 |
M20 | 20.0 | 30 |
วัดขนาด น็อต /โบลท์เองแบบง่าย
การวัดขนาด น็อต ด้วยมือไม่ยากอย่างที่คิดค่ะ ถ้ามีเวอร์เนียหรือไม้บรรทัดเหล็กเพียงอันเดียวก็สามารถคำนวณขนาด M ได้ทันที
ทำไมหัว น็อต ใหญ่กว่าเกลียว?
เวลาขัน น็อต เราใช้ “แรงบิด” หมุนเกลียวให้แน่นเข้าหากัน แรงนี้ไม่ได้หายไปไหนค่ะ แต่เปลี่ยนเป็นแรง “ยืดตัว” ภายในโบลท์ ถ้าหัว น็อต เล็กเกินไป แรงทั้งหมดจะไปกองอยู่ตรงเหลี่ยมจุดเดียว ทำให้หัว น็อต ขาดก่อนที่เกลียวจะยึดแน่น ดังนั้นหัว น็อต จึงถูกออกแบบให้ใหญ่กว่าเกลียวเสมอ เพื่อให้มีพื้นที่รับแรงได้ทั่วถึงและกระจายแรงเท่ากันในทุกเหลี่ยม
แรงบิดอ้างอิงยอดฮิต
ขนาด (M) | แรงบิดแนะนำ (N·m) | หมายเหตุ |
---|---|---|
M6 | 9–11 | งานทั่วไป |
M8 | 22–27 | งานโครงสร้างเหล็ก |
M10 | 43–50 | เครื่องยนต์ทั่วไป |
M12 | 75–85 | งานรับแรงสูง |
สรุปจากน้องช่าง
น็อต ตัวเล็ก ๆ อาจดูไม่สำคัญ แต่ในโลกของช่าง มันคือจุดเริ่มต้นของทุกโครงสร้าง ไม่ว่าจะเป็นชั้นเหล็กในคอนโด หรือสะพานเหล็กที่ยาวหลายร้อยเมตร ทุกอย่างยึดอยู่ได้เพราะเกลียวเล็ก ๆ ที่แน่นและพอดี หากเลือกผิดขนาด ขันผิดแรง หรือใช้ผิดระบบ ผลลัพธ์คือโครงสร้างทั้งชิ้นอาจไม่ปลอดภัยเลยค่ะ
การเข้าใจคำว่า “M” จึงไม่ใช่แค่เรื่องตัวเลข แต่มันคือพื้นฐานของความปลอดภัยและความมั่นใจในทุกงาน การเลือก น็อต ให้ถูกคู่ การใช้ประแจขนาดพอดี และการรู้แรงขันที่เหมาะสม คือสิ่งที่ทำให้เราเป็น “ช่างที่เข้าใจงานจริง” ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง