Customers Also Purchased
หลายคนคงจะรู้ดีอยู่แล้วใช่ไหมครับ? ว่า ถ้าเอา ดอกไขควง มาใช้กับสว่าน ปรับวงแหวนให้เหมาะสม มันก็จะเปลี่ยนสว่านให้ทำงานคล้ายกับไขควงไฟฟ้าได้ งานหนักก็กลายเป็นเบา ทั้งประหยดเวลา และแรงได้เยอะ
แต่คุณเคยเจอไหมครับ หยิบเครื่องมือมาทำงาน แล้วเผลอหยิบผิด หรือเข้าใจว่ามัน “น่าจะใช้แทนกันได้” อย่างเช่นจะหยิบเครื่องมือที่ใส่ดอกไขควง มาเจาะรูบนไม้ หรือเหล็ก เพราะเห็นว่าดอกมันก็หมุนได้เหมือนกัน มีหัวแหลมบ้างแบนบ้าง คิดว่า “ก็น่าจะพอเจาะได้อยู่” ไม่น่าจะมีปัญหา แต่ความจริงแล้ว นี่คือความเข้าใจผิดที่อาจทำให้งานพัง เครื่องมือเสีย และบางครั้งก็อันตรายกับตัวเราเองด้วยครับ
ในบทความนี้ ผมจะพามาเจาะลึก ให้เข้าใจหลักการจริง ๆ ของ ดอกไขควง ว่าทำไมเขาถึงห้ามนำมาใช้กับงานเจาะ แม้จะใช้กับสว่านที่ออกแบบมาให้เจาะ หรือเครื่องมืออื่น ๆ ที่เจาะกับดอกสว่านได้ เพื่อให้คุณไม่เผลอหยิบผิด หรือเข้าใจผิด จนเครื่องมือเสีย หรือเสียเวลา และทำให้งานซับซ้อนกว่าที่ควร
รู้ก่อน ว่า ดอกไขควง คืออะไร
ก่อนอื่นเลย เรามาทบทวนกันก่อนครับ ว่า “ดอกไขควง” คืออะไร จริง ๆ แล้วชื่อมันก็บอกอยู่ แล้วครับว่ามันคือดอกไขควง (screwdriver bit) ออกแบบมาเพื่อ ขันสกรู/น็อต ไม่ใช่เพื่อการเจาะรู
ทำไม ดอกไขควง บางรุ่นมีสองหัว แล้วใช้กับเครื่องมือต่างกันไหม? เมื่อใช้กับเครื่องมือไฟฟ้า หน้าที่หลัก ๆ ของดอกไขควง คือ การ ถ่ายแรงบิด (Torque) ไปที่หัวสกรู เพื่อให้สกรูหมุนเข้าเนื้อวัสดุ หรือ คลายออกมาได้อย่างพอดี ซึ่งตรงนี้เป็นคุณสมบัติเด่นของดอกไขควงเลยครับ เพราะมันต้องรับแรงหมุนสูงโดยที่หัวไม่เสียรูปง่าย ๆ
ดอกไขควง ต่างจาก ดอกสว่าน ยังไง?
หลายคนเห็นว่าทั้งคู่ก็เป็น “ดอก” ที่ใส่เข้ากับสว่านได้เหมือนกัน เลยคิดว่าน่าจะใช้แทนกันได้ เพราะดูเหมือนว่าทำหน้าที่คล้าย ๆ กัน แค่เสียบเข้าหัวจับ แล้วหมุนเหมือนกัน แต่จริง ๆ แล้วมันต่างกันมากครับ ความต่างนี้ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องรูปร่างภายนอก แต่ยังรวมถึงหลักการทำงานภายใน และวัตถุประสงค์ในการใช้งานด้วย
ดอกที่ถูกออกแบบมาเพื่อเจาะ และกัดเนื้อวัสดุ ย่อมทำงานไม่เหมือนกับ ดอกไขควงซึ่งสร้างมา เพื่อถ่ายแรงบิดเข้าสู่หัวสกรู ดังนั้นแม้จะใช้เครื่องมือเดียวกันในการขับ หน้าที่ของดอกทั้งสองชนิดนี้ ไม่อาจแทนที่กันได้เลยครับ
เข้าใจหลักการ: ทำไม ดอกไขควง ถึงเจาะไม่ได้
หลายคนอาจสงสัยว่า เรื่องนี้จำเป็นต้องอธิบายให้ยืดยาวจริงหรือ? เพราะในมุมมองของช่างมืออาชีพก็อาจจะมองว่ามันชัดเจนอยู่แล้ว ว่าดอกไขควง คือสำหรับขันสกรู ไม่ใช่สำหรับเจาะ แต่ถ้าเป็นคนทั่วไปที่ไม่ได้ใช้เครื่องมือบ่อย ๆ การเข้าใจพื้นฐานตรงนี้ก็สำคัญมาก ๆ ครับ เพราะการเข้าใจหลักการทำงานจริง ๆ จะช่วยป้องกันไม่ให้เราเสียเวลา และใช้งานผิดจนเครื่องมือเสียหาย หรือเกิดอันตรายได้
บางครั้งความเข้าใจผิดเล็ก ๆ ก็นำไปสู่ปัญหาใหญ่ เช่น การหยิบดอกไขควงมาเจาะทั้งที่มันไม่มีคมตัดและร่องเกลียว ผลที่ได้ก็มีแต่ความยุ่งยาก
ดังนั้นการทำความเข้าใจในเรื่องนี้ และปูพื้นฐานให้รู้ ว่าทำไมดอกไขควงถึงใช้เจาะไม่ได้ จะช่วยให้เราเลือกใช้อุปกรณ์อย่างถูกต้อง และทำงานได้อย่างมั่นใจ ก็เหมือนกับการรู้ “ 7 สัญญาณที่บอกว่าคุณควรเปลี่ยน ดอกไขควง ใหม่ได้แล้ว ” นั่นแหละครับ มาดูหลักการทำงานหลัก ๆ ของดอกไขควงและดอกสำหรับเจาะ กันดีกว่าครับ ว่ามีอะไรบ้างที่ต่างกัน
1. เแรงบิด (Torque)
ดอกไขควง ถูกออกแบบมาให้รับแรงบิดสูง ๆ ไม่ใช่แรงตัดเฉือน ดังนั้นเวลาเอามาเจาะ มันจึงไม่มีแรงกินเนื้อวัสดุ การออกแบบนี้เน้นไปที่การหมุนหัวสกรูให้แน่น หรือคลายออกมา ไม่ใช่การเจาะทะลุวัสดุ เวลาขันสกรู ดอกไขควงจะใช้แรงบิดทั้งหมดถ่ายลงไปที่ร่องของสกรู แล้วถ้าเอามาเจาะ รูปแบบแรงบิดอย่างเดียว จะไม่สามารถทำให้วัสดุแตกตัว หรือสร้างช่องว่างในแบบที่ดอกสว่านทำได้เลย
2. ของคมตัด (Cutting Edge)
ดอกสว่านมีคมตัดสองด้านที่หมุนพร้อมกันเพื่อกัดวัสดุออก ทำให้เจาะเป็นรูสวย และต่อเนื่องได้ แต่ดอกไขควงไม่มีเลยครับ มีแต่หัวเรียบ ๆ สำหรับเข้าร่อง ดังนั้นแม้จะหมุนด้วยความเร็วสูงก็ไม่สามารถกัดวัสดุออกได้ดี และบางครั้งยังอาจทำให้ผิววัสดุเสียหาย หรือหัวสกรูสึกหรอไปด้วยถ้าฝืนใช้ผิดงาน
3. การระบายเศษ (Chip Removal)
เวลาสว่านเจาะ เศษไม้ หรือเศษเหล็กจะออกมาตามร่องเกลียวที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะ ทำให้การเจาะไม่ติดขัด และระบายความร้อนได้ แต่ดอกไขควงไม่มีร่องสำหรับการทำงานลักษณะนี้เลยครับ ทำให้แม้จะฝืนกด ก็ไม่มีทางระบายเศษออก แถมยังเสี่ยงเกิดความร้อนสะสมจนปลายดอก หรือวัสดุเสียหายได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
ถ้าเอา ดอกไขควง มาเจาะรู จะเกิดอะไรขึ้น?
ผมเคยเห็นมากับตาครับ ตอนที่มีคนพยายามใช้ ดอกไขควง เจาะรูบนแผ่นยิปซัม แม้จะเป็นแผ่นบาง และไม่แข็งมาก ผลที่ได้ คือรูไม่กลมเรียบ เป็นแค่รอยกดบุ๋ม ๆ ที่แตกขอบ และเป็นฝุ่นผงร่วงออกมา ดูไม่เรียบร้อย และเสียงานไปเลย
- ดอกไขควง พัง ปลายดอกบิ่น หรือสึกเร็ว เพราะไม่ได้ออกแบบมาให้เจาะ
- สว่านทำงานหนัก เพราะดอกไม่กินเนื้อวัสดุ ทำให้ต้องใช้แรงกดมากขึ้นจนเกินกำลัง
- วัสดุเสียหาย เจาะไม่เข้า แต่กลับทำให้เป็นรอยไหม้ รอยครูด หรือแตกหัก
- เสี่ยงอันตราย ถ้าดอกไขควงสะบัดหลุด ก็อาจโดนมือ หรือกระเด็นใส่หน้าได้
- เสียเวลา สุดท้ายก็ต้องไปหยิบดอกสว่านมาใช้อยู่ดี เพราะฝืนใช้ไม่ไหว
เรียกได้ว่านอกจากไม่ช่วยให้งานเสร็จแล้ว การพยายามใช้ ดอกไขควง เจาะวัสดุยังกลายเป็นสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นมา อีกต่างหากครับ
ทำไมอาจมีคนเข้าใจผิด เกี่ยวกับ ดอกไขควง?
จริง ๆ แล้วผมคิดว่า โอกาสที่คนทำงานจะเข้าใจผิดว่าดอกไขควง คือดอกสว่านนั้นมีน้อยครับ นอกจากในกรณีที่ดอกสว่านมีขนาดเท่ากับดอกไขควง และมีปลายหกเหลี่ยม คนที่ไม่เคยใช้จริง ๆ ก็อาจจะพลาดได้ แต่เหตุผลที่ต้องย้ำเรื่องนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นเพราะช่างหยิบผิดตอนรีบทำงาน หรือคิดว่าวัสดุบาง ๆ ไม่น่าจะเป็นอะไร ถึงลองใช้แบบผิดงาน ซึ่งกรณีแบบนี้พบได้บ่อยกว่ามาก
และผมว่า กรณีนี้จะเกิดจาก 2 สาเหตุใหญ่ ๆ ครับ
สาเหตุที่ 1: เพราะหน้าตาคล้ายกัน
มองเผิน ๆ ดอกไขควง กับดอกสว่าน มันก็เหมือนกันจริง ๆ ครับ เป็นเหล็กแท่งเล็ก ๆ ใส่เข้าไปในสว่าน เหมือนกัน จนคิดว่าใช้แทนกันได้ ยิ่งใครที่ไม่ได้คุ้นเคยกับเครื่องมือมากนัก ความเข้าใจผิดแบบนี้ก็อาจเกิดขึ้นได้ในสถานการณ์ที่ต้องทำงานเร็ว ๆ หรือรีบใช้เครื่องมือโดยไม่ได้สังเกตให้ละเอียด
จริง ๆ แล้วจุดเล็ก ๆ อย่างคมตัด หรือร่องเกลียวที่ดอกไขควงไม่มี เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะนั่นคือสิ่งที่ทำให้มันไม่สามารถเจาะวัสดุได้เหมือนดอกที่ออกแบบมาสำหรับเจาะจริง ๆ ครับ
สาเหตุที่ 2: เพราะคิดว่า “หมุนได้ก็น่าจะเจาะได้”
หลายคนเข้าใจว่า การเจาะรูคือการหมุนทะลุเข้าไปเฉย ๆ แต่จริง ๆ แล้ว การเจาะต้องมีคมกัดวัสดุ ไม่ใช่แค่หมุนครับ การหมุนอย่างเดียวอาจทำให้ดอก หรือหัวที่ใช้งานถูกกดทับกับวัสดุจนเป็นรอย แต่จะไม่เกิดการสร้างรูขึ้นมาเลย เพราะการเจาะจริง ๆ จะต้องใช้ทั้งแรงหมุน และการกัดเนื้อวัสดุไปพร้อม ๆ กัน

แล้วถ้าจะ “เจาะรูใส่สกรู” ต้องทำยังไง?
หลายคนอาจจะสับสนตรงนี้ครับ เพราะเห็นสกรูเจาะเข้าไม้ได้เองก็มักคิดว่าไม่ต้องใช้ดอกสว่านก็ได้ แต่ความจริงแล้ว สำหรับการใช้ดอกไขควง ขันสกรูเข้าวัสดุ การเจาะรูนำ (Pilot Hole) มีความสำคัญมาก ยิ่งเวลาทำงานกับไม้แข็ง หรือวัสดุที่เปราะง่าย ถ้าเราไม่เจาะรูนำก่อน การขันสกรูอาจทำให้ไม้แตก หรือสกรูเข้าไม่ตรง ทำให้งานออกมาไม่สวย และไม่แข็งแรง ยิ่งถ้าเป็นงานเฟอร์นิเจอร์ หรือโครงสร้างที่ต้องรับน้ำหนัก การทำรูนำถือว่าเป็นขั้นตอนที่ช่วยยืดอายุการใช้งาน และทำให้งานดูเรียบร้อยมากขึ้นครับ
วิธีที่ถูกต้องคือ ใช้ ดอกสว่าน เจาะรูนำ (Pilot Hole) ก่อน โดยเลือกดอกสว่านขนาดเล็กกว่าขนาดสกรูเล็กน้อย แล้วก็เปลี่ยนเป็น ดอกไขควง เพื่อขันสกรูเข้าไป วิธีนี้จะได้รูสวย สกรูเข้าได้ง่าย ไม่แตก และไม่ทำให้วัสดุเสียหายครับ
สกรูแบบต่าง ๆ ที่ใช้เจาะเข้าไม้
อีกหนึ่งสิ่งที่หลายคนอาจเข้าใจผิด คิดว่าใช้ดอกไขควงแทนดอกสว่านได้ก็อาจจะมาจากการเห็นช่างใช้ไขควงกระแทก หรือสว่านต่อกับดอกไขควง ขันสกรูเกลียวยาว เข้าเนื้อไม้หนา ๆ ที่มองเผิน ๆ ก็ไม่ต่างจากการเจาะด้วยสว่านเลย
แต่ความจริงคือ ถ้าพูดถึงสกรู หลายชนิดก็ถูกออกแบบมาให้เจาะเข้าไม้ได้เองโดยไม่ต้องเจาะรูนำ เช่นสกรูปลายแหลม สกรูเกลียวปล่อย หรือสกรูปลายสว่าน ซึ่งทั้งหมดนี้มีการออกแบบปลายเกลียวที่คมและแข็งแรง ทำหน้าที่กัดเนื้อไม้ และสร้างร่องให้ตัวมันเองหมุนเข้าไปได้อย่างแนบแน่น ถึงอย่างงั้นก็ยังต่างจากการเจาะรูทั่วไป เพราะสกรูเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ตัวมันเองเข้าไปในเนื้อไม้ ไม่ได้สร้างรูว่างเปล่าเหมือนดอกสว่าน
ดังนั้น แม้สกรูหลายแบบจะมีความสามารถ "เจาะเข้าไม้" ได้ แต่ก็ต้องใช้คู่กับดอกไขควงเพื่อขับสกรูเข้าไป ไม่ใช่เพื่อเจาะรูแทนดอกสว่านครับ

สรุป
สรุปแล้ว นะครับ ดอกไขควงใช้เจาะรูไม่ได้ เพราะมันไม่มีคมตัด กัดวัสดุออกไม่ได้ หน้าที่ของมันคือถ่ายแรงบิดไปที่สกรูเท่านั้น
ถ้าอยากเจาะรู ต้องใช้ดอกสว่าน ส่วนดอกไขควงมีไว้ขัน งานถึงจะออกมาสวย และปลอดภัย
จริง ๆ แล้วประเด็นนี้อาจจะฟังดูเล็กน้อย แต่สำหรับคนที่ทำงานช่าง หรือ DIY อยู่บ่อย ๆ มันคือความต่างระหว่างงานที่เรียบร้อยกับงานที่เสียไปเลยครับ ลองนึกภาพว่าถ้าคุณเลือกใช้ผิด งานที่ออกมาไม่ใช่แค่ไม่สำเร็จนะครับ แต่ยังเสียเวลา เสียแรง และบางครั้งเสียเงินซื้ออุปกรณ์ใหม่ อีกด้วย
ผมอยากฝากไว้เลยครับว่า การทำความเข้าใจหลักการตรงนี้สักนิด จะช่วยให้เราไม่เสียเวลา ไม่เสียเครื่องมือ และที่สำคัญ ไม่เสียแรงฟรี ๆ อีกด้วย การรู้เข้าใจหน้าที่จริง ๆ ของอุปกรณ์ต่อเล็ก ๆ อย่าง ดอกไขควง ก็ไม่ต่างกับการรู้จักเครื่องมือในกล่องเครื่องมือของเราเอง เวลาจะหยิบมาใช้ก็จะได้เลือกถูกจังหวะ ถูกงาน และเกิดประโยชน์มากที่สุด ดังนั้นอย่าคิดแต่ว่าเครื่องมือแต่ละอย่าง สามารถแทนกันได้เสมอไปครับ