Customers Also Purchased
หากพูดถึง “รองเท้าเซฟตี้” หลายๆคนก็คงนึกภาพรองเท้าหัวเหล็กที่หนัก ๆ แบบเดิมๆ ใช่ไหมล่ะครับ? แต่จริง ๆ มันมีหลายแบบให้เลือก แต่ละแบบก็ถูกออกแบบมาเพื่อปกป้องเท้าในสถานการณ์ที่ต่างกันไปตามการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นแบบกันไฟฟ้า กันน้ำ หรือกันลื่น ฟังดูอาจเหมือนเป็นรายละเอียดเล็ก ๆ แต่บอกเลยว่าถ้าเลือก รองเท้าเซฟตี้ ผิดงาน ไม่ใช่แค่ไม่ช่วยป้องกันนะครับ ยังอาจกลายเป็นต้นเหตุของอันตรายเพิ่มเข้าไปอีก!
เพราะฉะนั้นการเลือก รองเท้าเซฟตี้ ที่ “ใช่” ไม่ได้มีแค่เรื่องหัวเหล็กครับ แต่มันคือการเลือกให้ตรงกับงาน เชื่อเราเถอะครับ ประสบการณ์จากช่างมืออาชีพ ที่ได้แลกเปลี่ยนึวามคิดกัน จากหน้างานหลายครั้งยืนยันได้เลยว่า ถ้าเลือก รองเท้าเซฟตี้ ให้ถูกแบบ งานก็ลื่นขึ้น ปลอดภัยขึ้น แถมเดินทำงานสบายใจกว่าเยอะเลย
ความสงสัยในตัวของ รองเท้าเซฟตี้
เราเองก็เคยสงสัยเรื่องนี้เหมือนกันว่า รองเท้าเซฟตี้ มันใช้ได้เหมือนกันหมดไหม?
“รองเท้าเซฟตี้ แบบกันไฟฟ้านี่จำเป็นจริงเหรอ?”
“รองเท้าเซฟตี้ แบบกันลื่นมันต่างจากแบบทั่วไปยังไง?”
หลายๆครั้งที่ฟังแล้วก็รู้สึกว่า หลายๆคนส่วนใหญ่ รวมถึงเราเองก็เคยเข้าใจว่า รองเท้าเซฟตี้ คือหัวเหล็กเท่านั้น แต่ความจริงมันกว้างกว่านั้นเยอะครับ เพราะ รองเท้าเซฟตี้ แต่ละแบบมันถูกคิดมาให้เหมาะกับงานเฉพาะทางจริง ๆ อย่างถ้าคุณทำงานที่มีน้ำขังหรือเจอสภาพเปียกตลอดเวลา แบบกันน้ำก็จะช่วยให้ไม่ต้องทรมานกับรองเท้าชื้น ๆ เหม็นอับ หรือถ้าทำงานเกี่ยวกับไฟฟ้า การใส่หัวเหล็กธรรมดาอาจเสี่ยงมากกว่าปลอดภัย เพราะมันนำไฟฟ้าได้ แบบกันไฟฟ้านี่แหละที่ออกแบบมาเพื่อลดความเสี่ยงตรงนี้โดยเฉพาะ ที่สำคัญ รองเท้าเซฟตี้ หลายๆรุ่นจะมีการกำกับด้วย รหัสมาตรฐาน ซึ่งตรงนี้เองที่หลายคนไม่ค่อยรู้ว่า “รหัสมาตรฐาน รองเท้าเซฟตี้ มีอะไรบ้างแล้วต่างกันยังไง? มาดูกัน!”
รองเท้าเซฟตี้ กันไฟฟ้า
รองเท้าเซฟตี้ กันไฟฟ้านี่ บอกเลยว่าหลายคนยังเข้าใจผิดกันเยอะมากเลยครับ หลายคนคิดว่าพอเป็น “รองเท้าเซฟตี้ หัวเหล็ก” ก็ต้องกันไฟฟ้าได้ทั้งหมด ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ใช่เลยนะครับ “หยุดความคิดนี้เลย” เพราะ รองเท้าเซฟตี้ กันไฟฟ้าจะถูกออกแบบมาเฉพาะ ใช้วัสดุที่เป็นฉนวน เช่น PU หรือยางพิเศษ เพื่อป้องกันกระแสไฟฟ้าไม่ให้วิ่งผ่านร่างกายเราได้
เราเองก็เคยคุยกับช่างไฟอยู่คนหนึ่ง เขาเล่าว่าเคยพลาดใส่ รองเท้าเซฟตี้ ทั่วไปไปทำงานติดตั้งสายไฟ ปรากฏว่ามีไฟรั่วขึ้นมา ไฟดูดจนล้มลงตรงนั้นเลยครับ “เกือบตุย!” ต้องหามไปโรงพยาบาล โชคดีที่ไม่เป็นอะไรมาก แต่ก็กลายเป็นบทเรียนครั้งใหญ่เลยว่า ถ้าทำงานเกี่ยวกับไฟฟ้า ต้องเลือกรองเท้าที่มีมาตรฐาน EH (Electrical Hazard) เท่านั้น ไม่ใช่แค่ รองเท้าเซฟตี้ หัวเหล็กธรรมดา ๆไม่พอ!
จุดเด่นของ รองเท้าเซฟตี้ กันไฟฟ้า
- ป้องกันไฟรั่ว ไฟดูด – จุดสำคัญที่สุดเลยครับ เวลาเราทำงานเกี่ยวกับไฟฟ้า แค่ความผิดพลาดเล็ก ๆ ก็อันตรายถึงชีวิตได้ การมีรองเท้าที่ช่วยตัดกระแสไม่ให้ผ่านร่างกายเราได้ ทำให้มั่นใจขึ้นมาก
- เหมาะกับงานไฟฟ้าและงานซ่อมบำรุง – ไม่ว่าจะเป็นช่างติดตั้งสายไฟ ทำงานในโรงงานอิเล็กทรอนิกส์ หรือซ่อมระบบไฟฟ้าในอาคาร การมีรองเท้าที่ออกแบบมาเฉพาะก็ช่วยลดความเสี่ยงได้จริง
- มีมาตรฐานรองรับชัดเจน – รองเท้าที่กันไฟฟ้าได้จริงจะมีการระบุว่า EH (Electrical Hazard) และผ่านมาตรฐานสากล เช่น ASTM หรือ EN ISO เพราะฉะนั้น เวลาเลือกซื้อก็ดูที่สัญลักษณ์พวกนี้เป็นหลักครับ จะได้ไม่ซื้อผิด
ข้อควรระวัง
- อย่าใส่ตอนรองเท้าเปียก – ถึงรองเท้าจะเป็นรุ่นกันไฟฟ้า แต่ถ้าเปียกน้ำหรือพื้นรองเท้าเสื่อมสภาพ ประสิทธิภาพก็ลดลงทันทีครับ เหมือนกับร่มที่ขาด ถึงยังเป็นร่มอยู่ แต่กันฝนไม่อยู่แล้ว
- รองเท้าหัวเหล็กทั่วไปไม่กันไฟฟ้า – จุดนี้สำคัญมาก ๆ หลายคนเข้าใจผิด รองเท้าหัวเหล็กทั่วไปออกแบบมาเพื่อกันของตกใส่ ไม่ได้กันไฟฟ้าเสมอไป ถ้าจะทำงานเกี่ยวกับไฟ ต้องดูมาตรฐาน EH กำกับเท่านั้นครับ
รองเท้าเซฟตี้ กันน้ำ
รองเท้าเซฟตี้ กันน้ำ ถือว่าเป็นพระเอกสำหรับใครที่ต้องทำงานในที่เปียกชื้นตลอดเวลาเลยครับ หลายๆคนอาจคิดว่า
“ก็แค่เปียก ๆ เดี๋ยวก็คงแห้ง ใช้รองเท้าอะไรก็ได้!”
แต่… บอกเลยครับว่าพอทำงานไปจริง ๆ เท้ามันไม่เคยได้แห้งเลยครับ ยิ่งใส่รองเท้าที่ไม่กันน้ำ พอเปียกทีนึงก็ซึมเข้าข้างใน แล้วคุณลองนึกภาพดูสิครับ ว่าต้องยืนทำงานทั้งวันด้วยเท้าเปียก ๆ ผลที่ตามมาคือเท้าเปื่อย มีกลิ่น แถมบางคนถึงขั้นเป็นเชื้อราเลยก็มี เชื่อเราเถอะ!
เราเคยไปดูงาน ในโรงงานเครื่องดื่มมา วันนั้นพื้นลื่น และมีน้ำตามไล่ทางตลอดเวลา เพราะเขาต้องล้างทำความสะอาดเครื่องจักรอยู่เรื่อย ๆ อยู่ๆมีพนักงานคนนึงพูดบอกว่า
“เมื่อก่อนใส่รองเท้าเซฟตี้ธรรมดาๆ แหละ แต่… ไม่กี่ชั่วโมงก็เท้าเปื่อยจนเดินไม่สบาย แต่พอเขาให้เปลี่ยนมาใช้ รองเท้าเซฟตี้ กันน้ำจริง ๆก็ทำให้ปัญหานี้หายไปเลย เท้าแห้ง เดินสบายขึ้น แถมยังลดความเสี่ยงเรื่องสุขภาพเท้าอีกด้วย”
จุดเด่นของ รองเท้าเซฟตี้ กันน้ำ
- ป้องกันน้ำซึมเข้า – อันนี้ชัดเจนครับ ใครที่ต้องทำงานในที่แฉะหรือเปียกบ่อย ๆ จะรู้เลยว่ามันต่างมาก รองเท้ากันน้ำช่วยให้เท้าเราแห้ง ไม่ต้องทรมานกับการยืนทำงานทั้งวันในรองเท้าเปียก ๆ
- ลดความเสี่ยงโรคผิวหนัง – เวลาเท้าเปียกนาน ๆ ปัญหาใหญ่คือเชื้อรา เท้าเปื่อย มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ แต่ถ้าใส่แบบกันน้ำได้ดี ปัญหานี้แทบหายไปเลยครับ
- เหมาะกับงานกลางแจ้งและงานที่ต้องเจอน้ำบ่อย ๆ – อย่างงานก่อสร้าง งานภาคสนาม โรงงานอาหาร หรืองานที่ต้องลุยพื้นที่ล้างทำความสะอาดบ่อย ๆ รองเท้ากันน้ำช่วยยืดอายุการทำงานของเท้าเราได้เยอะ
ข้อควรระวัง
- ระบายอากาศน้อย – บางรุ่นกันน้ำได้จริง แต่พอใส่ไปนาน ๆ ในอากาศร้อนแบบบ้านเรา อาจรู้สึกอบอ้าวเท้าได้ครับ
- ใส่อึดอัดถ้าเลือกผิด – รองเท้ากันน้ำบางแบบ ใส่แล้วแข็งหรือหนักเกินไป ทำงานนาน ๆ จะรู้สึกอึดอัดแทนที่จะสบาย ดังนั้นตอนเลือกซื้อควรลองใส่เดินจริง ๆ ก่อนเสมอ
รองเท้าเซฟตี้ กันลื่น
หลายๆคนเวลาเลือกซื้อ รองเท้าเซฟตี้ มักโฟกัสไปที่ “หัวเหล็ก” อย่างเดียวใช่ไหมล่ะครับ? เพราะคิดว่าป้องกันของตกใส่เท้าก็น่าจะจบแล้ว แต่จริง ๆ แล้วอีกหนึ่งสาเหตุใหญ่ของอุบัติเหตุในที่ทำงานคือ “การลื่นล้ม” เราเคยมาแล้ว โดยเฉพาะในที่ทำงานที่พื้นเปียก มัน หรือมีคราบอยู่ตลอดเวลา อย่างพวก โรงงานผลิตอาหาร ร้านอาหาร โรงงานน้ำมัน หรือแม้แต่งานในโรงพยาบาลที่ต้องเจอกับสารคัดหลั่ง และพวกน้ำยาทำความสะอาด
เราเคยเห็นกับตาตอนที่ช่างคนหนึ่งกำลังยกของหนัก ๆ อยู่ พื้นดันลื่น “ไม่ได้แอบขำนะครับ!” เขาใส่ รองเท้าเซฟตี้ จริง แต่ดันไม่ใช่รุ่นกันลื่น ผลคือเสียหลักล้มลง ของก็หล่นกระแทกใส่เท้าอีกที กลายเป็นเจ็บสองต่อเลยครับ เหตุการณ์นั้นมันทำให้ผมเข้าใจเลยว่า “พื้นรองเท้าที่ออกแบบมาให้กันลื่น” หรือที่เรียกว่า Slip Resistant (SRC) นี่มันจำเป็นจริง ๆ ไม่ใช่แค่ลูกเล่นการตลาด แต่ช่วยป้องกันอุบัติเหตุได้จริง ๆ
พูดกันแบบบ้าน ๆ เลย รองเท้าเซฟตี้ ที่มีกันลื่นมันไม่ได้ช่วยแค่ให้เดินมั่นคงขึ้นนะครับ แต่ยังช่วยเซฟทั้งร่างกาย และอุปกรณ์ที่เราแบกอยู่ด้วย เพราะถ้าลื่นขึ้นมาเมื่อไหร่ ความเสียหายมันไม่ได้มีแค่ที่ตัวเราอย่างเดียว ของที่ยกอยู่ก็พัง หรืองานทั้งงานก็สะดุดตามไปด้วย
จุดเด่นของ รองเท้าเซฟตี้ กันลื่น
- ดอกยางพิเศษ ยึดเกาะแน่น – รองเท้ากันลื่นจะมีลวดลายพื้นรองเท้าออกแบบเฉพาะ ทำให้ยึดเกาะได้ดี ไม่ว่าจะเป็นพื้นเปียก พื้นมัน หรือพื้นเรียบ ๆ ที่เสี่ยงลื่นง่าย
- ลดความเสี่ยงอุบัติเหตุ – โดยเฉพาะเวลายกของหนัก ๆ ถ้าลื่นขึ้นมาทีเดียว ความเสียหายมีทั้งตัวคนและของที่แบกอยู่ แต่รองเท้ากันลื่นช่วยลดความเสี่ยงตรงนี้ได้เยอะ
- เหมาะกับหลายงานที่พื้นไม่เคยแห้ง – ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาล โรงงานอาหาร โรงงานน้ำมัน ร้านอาหาร หรือแม้แต่งานก่อสร้างที่พื้นแฉะอยู่ตลอด การมีรองเท้ากันลื่นช่วยให้ทำงานได้มั่นใจขึ้น
ข้อควรระวัง
- ต้องดูมาตรฐานให้ชัดเจน – รองเท้าที่ระบุว่า Slip Resistant ก็มีหลายระดับ เช่น SRA, SRB, SRC ซึ่งแต่ละแบบผ่านการทดสอบบนพื้นต่างกัน เวลาเลือกซื้ออย่าลืมดูสัญลักษณ์พวกนี้ ไม่ใช่ว่าทุกรุ่นจะกันลื่นได้เท่ากัน
- กันลื่น ≠ ไม่ลื่นเลย – รองเท้ากันลื่นไม่ได้หมายความว่าจะเดินบนพื้นมัน ๆ หรือเจอน้ำมันข้น ๆ แล้วไม่มีทางลื่นนะครับ แค่ลดความเสี่ยงได้เยอะขึ้น แต่ถ้าพื้นเลอะมาก ๆ หรือเราไม่ระวัง ก็ยังพลาดได้อยู่ดี
แล้วเราควรเลือก รองเท้าเซฟตี้ แบบไหนดี?
จริง ๆ แล้วต้องบอกก่อนเลยว่า ไม่มี รองเท้าเซฟตี้ คู่ไหนที่ “กันได้ทุกอย่าง” ครบในคู่เดียว หรอกครับ รองเท้าแต่ละแบบเขาออกแบบมาเจาะจงงานเฉพาะทางมากกว่า เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราควรโฟกัสคือ เลือกให้ “ตรงกับงานที่เราทำจริง ๆ” จะดีกว่าเยอะ
- ถ้าเป็น งานไฟฟ้า → ก็ควรเน้นรองเท้าที่มีมาตรฐาน EH กันไฟฟ้า เป็นหลัก อันนี้ช่วยป้องกันไฟรั่วไฟดูดได้จริง
- ถ้าเป็น งานกลางแจ้ง หรือต้องลุยน้ำ → รองเท้ากันน้ำที่ทนสภาพแวดล้อมได้ดีจะตอบโจทย์กว่า ไม่ต้องทนทรมานกับเท้าเปียกทั้งวัน
- ถ้าเป็น งานในพื้นที่เปียก มัน หรือพื้นโรงงาน → รองเท้ากันลื่น (Slip Resistant / SRC) นี่แหละช่วยชีวิต เพราะลดความเสี่ยงลื่นล้มเวลาเดินยกของได้เยอะมาก
แต่ในความเป็นจริง งานของหลาย ๆ คนมันไม่ได้มีอย่างเดียว เช่น ช่างไฟที่ต้องทำงานในไซต์ก่อสร้าง นอกจากต้องเจอไฟฟ้า ก็ยังต้องเดินลุยน้ำหรือพื้นที่แฉะ ๆ ด้วย แบบนี้รองเท้าที่มีคุณสมบัติผสม เช่น กันไฟฟ้า + กันน้ำ หรือ กันน้ำ + กันลื่น ก็จะช่วยทั้งเรื่องความปลอดภัยและความสบายไปพร้อมกันครับ
สรุป
รองเท้าเซฟตี้ แต่ละแบบถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันอันตรายที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น กันไฟฟ้า, กันน้ำ, กันลื่น การเลือกที่ถูกต้องไม่เพียงแต่ช่วยป้องกันอุบัติเหตุ แต่ยังช่วยให้เราทำงานได้คล่องตัวและสบายขึ้นด้วย อย่าคิดว่ารองเท้าเซฟตี้แค่ “หัวเหล็ก” อย่างเดียวพอ เพราะบางทีสิ่งที่อันตรายจริง ๆ อาจไม่ใช่ของตกใส่ แต่เป็นไฟฟ้าที่มองไม่เห็น น้ำที่ซึมเข้ามา หรือพื้นลื่นที่เรากะพลาดไปแค่วินาทีเดียว