รหัสมาตรฐาน รองเท้าเซฟตี้ มีอะไรบ้างแล้วต่างกันยังไง? มาดูกัน!

Customers Also Purchased

รองเท้าเซฟตี้ (Safety Shoes) เป็นของคู่กายสำหรับคนทำงานในหลายอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นช่างก่อสร้าง พนักงานโรงงาน คนทำงานในคลังสินค้า หรือแม้แต่งานไฟฟ้า เพราะมันไม่ได้แค่ช่วยป้องกันเท้าเราจากของตก ของมีคม หรือพื้นร้อน ๆ เท่านั้น แต่ยังช่วยให้เราเดิน ทำงานได้สบายขึ้น ลดอาการเมื่อยล้า และที่สำคัญคือช่วยลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดได้เยอะเลย

แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้หลายคนงงเวลาจะเลือก รองเท้าเซฟตี้ ก็คือ รหัสมาตรฐานต่างๆที่ติดอยู่บน รองเท้าเซฟตี้ เช่น S1, S2, S3, P, WR, HRO และอื่น ๆ ฟังดูเหมือนโค้ดลับ แต่จริง ๆ แล้วแต่ละรหัสบอกคุณสมบัติสำคัญที่ต่างกันไป บทความนี้จะพาไปเจาะลึกรหัสเหล่านี้ให้เข้าใจง่าย พร้อมแนะนำวิธีเลือก รองเท้าเซฟตี้ ให้เหมาะกับลักษณะงานของคุณแบบไม่ต้องเดาอีกต่อไป!

มาตรฐาน ISO 20345 คืออะไร?

ความเป็นมาของมาตรฐาน ISO 20345

ISO 20345 คือมาตรฐานระดับสากลที่เหมือนเป็นคู่มือให้ผู้ผลิต รองเท้าเซฟตี้ ทำตาม เพื่อให้ รองเท้าเซฟตี้ แต่ละคู่มีความปลอดภัยตามเกณฑ์ที่วางไว้ เช่น ต้องทนแรงกระแทกได้ กันลื่นได้ ไม่โดนเจาะทะลุง่าย และลดไฟฟ้าสถิตได้ด้วย พูดง่าย ๆ คือใครที่ใส่ รองเท้าเซฟตี้ ที่ผ่านมาตรฐานนี้ ก็มั่นใจได้ระดับหนึ่งเลยว่าเท้าคุณจะปลอดภัยมากขึ้นในเวลาทำงาน ไม่ว่าคุณจะอยู่ในไซต์งานกลางแจ้ง หรือเดินคลังสินค้าทั้งวัน

ความแตกต่างระหว่าง ISO 20345:2011 และ ISO 20345:2022

เวอร์ชันล่าสุดของมาตรฐานนี้คือ ISO 20345:2022 ซึ่งเรียกได้ว่าอัปเกรดหลายอย่างจากของเดิมพอสมควรเลยครับ ทั้งเพิ่มรหัสใหม่ ๆ ที่ช่วยให้เราเลือกซื้อ รองเท้าเซฟตี้ ได้ตรงกับงานมากขึ้น ปรับเกณฑ์การทดสอบกันลื่นให้โหดขึ้นกว่าเดิม (เพราะความลื่นนี่แหละตัวการของอุบัติเหตุหลายครั้ง) และยังเพิ่มหมวดหมู่รองเท้าแบบใหม่อย่าง S6 กับ S7 ที่ตอบโจทย์งานหนักและลุยน้ำแบบเต็มตัวอีกด้วย ใครที่ยังใช้ รองเท้าเซฟตี้ มาตรฐานเก่า ๆ อยู่ ลองส่องดูเวอร์ชันใหม่นี้ก็ไม่เสียหายนะครับ

เช็กรหัสมาตรฐานของ รองเท้าเซฟตี้ ว่าต่างกันอย่างไร

คำอธิบายรหัสมาตรฐานหลักของ รองเท้าเซฟตี้

SB (Safety Basic)

  • หัว รองเท้าเซฟตี้ ทนแรงกระแทกได้ 200 จูล (ซึ่งก็พอจะรับมือกับของหล่นใส่ได้ระดับหนึ่งเลยครับ)
  • ไม่มีลูกเล่นหรือคุณสมบัติเพิ่มเติมอื่น ๆ มาเสริม เช่น กันลื่น กันน้ำ หรือซับแรงกระแทก
  • เหมาะสำหรับงานทั่วไปที่ไม่ได้เจอสภาพแวดล้อมโหดมาก เช่น งานสำนักงานในโรงงาน งานเบา ๆ หรือใช้ชั่วคราวระหว่างรอคู่หลัก

S1

  • คุณสมบัติก็ยังมีหัวเหล็กทนแรงกระแทกเหมือนกับรุ่น SB นั่นแหละครับ
  • แต่เพิ่มความสามารถพิเศษเข้ามาอีกหน่อย:
  • ป้องกันไฟฟ้าสถิต (A) สำหรับใครที่ทำงานกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือในพื้นที่แห้ง
  • รองรับแรงกระแทกบริเวณส้นเท้า (E) เดินทั้งวันก็ยังช่วยลดอาการปวดเมื่อยได้ดี
  • พื้น รองเท้าเซฟตี้ ทนน้ำมัน (FO) เผื่อใครต้องลุยในโรงงานที่พื้นเปื้อนน้ำมันเป็นประจำ
  • รวม ๆ แล้ว S1 เหมาะกับงานในร่มทั่วไป อย่างงานในโรงงานหรือคลังสินค้าครับ ใส่แล้วรู้สึกมั่นใจมากกว่ารุ่นพื้นฐาน

S2

  • คุณสมบัติหลัก ๆ ก็ยังเหมือนกับรุ่น S1 อยู่ครับ แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือความสามารถในการกันน้ำซึมเข้าทางส่วนบนของ รองเท้าเซฟตี้ (เรียกกันว่า WPA) ซึ่งช่วยให้เท้าไม่เปียกง่ายเวลาเดินเหยียบน้ำตื้น ๆ หรือเจอพื้นเปียกอยู่บ่อย ๆ
  • เหมาะมากสำหรับใครที่ทำงานในที่เปียกชื้น เช่น โรงงานผลิตอาหาร โรงงานน้ำดื่ม หรือสายล้างทำความสะอาดต่าง ๆ ใส่แล้วช่วยให้เท้าแห้ง สบาย ไม่อับชื้นง่าย

S3

  • คุณสมบัติก็ยังเหมือนกับรุ่น S2 อยู่ครับ แต่สิ่งที่ทำให้ S3 โดดเด่นขึ้นมาคือการเพิ่มแผ่นกันเจาะทะลุใต้พื้น รองเท้าเซฟตี้ (P) ซึ่งช่วยให้มั่นใจได้มากขึ้นเวลาเดินในพื้นที่ที่มีเศษเหล็ก ตะปู หรือของแหลม ๆ
  • แถมยังมีพื้นลายดอกกันลื่นอีกด้วย เดินบนพื้นเปียกหรือขรุขระก็รู้สึกมั่นใจขึ้น
  • ถ้าใครทำงานในไซต์ก่อสร้าง ต้องยกของ เดินบนพื้นทราย พื้นหิน หรือคลังสินค้าที่มีโอกาสเหยียบของแข็งหรือคมบ่อย ๆ รุ่นนี้แหละตอบโจทย์สุด ๆ เลยครับ

S4 และ S5 (สำหรับ รองเท้าเซฟตี้ ยางหรือ PVC)

  • S4: คุณสมบัติจะคล้าย ๆ กับ S1 เลยครับ แต่ต่างกันตรงที่วัสดุที่ใช้เป็นยางหรือโพลิเมอร์ ทำให้ รองเท้าเซฟตี้ กันน้ำได้ 100% แบบไม่ต้องห่วงเรื่องเปียกเลย เหมาะกับคนที่ต้องย่ำน้ำบ่อย ๆ หรือทำงานในพื้นที่เปียกชื้นแทบตลอดเวลา
  • S5: อัปเกรดจาก S4 อีกขั้น โดยเสริมแผ่นกันเจาะทะลุ (P) ใต้พื้นและพื้นรองเท้าก็มีลายกันลื่นด้วย ช่วยให้มั่นใจเวลาต้องเดินในพื้นที่ลื่นหรือมีของแข็งอยู่บนพื้น
  • สองรุ่นนี้เหมาะสุด ๆ กับงานที่ต้องลุยน้ำ ลุยโคลน หรือเจอสารเคมีเป็นประจำ เช่น งานเกษตร งานบำบัดน้ำเสีย หรือโรงงานผลิตเคมีครับ

S6 และ S7 (มาตรฐานใหม่ ISO 20345:2022)

  • S6: จุดเด่นอยู่ที่สามารถกันน้ำได้ทั้งตัว รองเท้าเซฟตี้ เลยครับ (WR) ไม่ใช่แค่ส่วนบนแบบรุ่นก่อน ๆ แถมยังมีคุณสมบัติเหมือน S2 มาครบ ทั้งเรื่องป้องกันไฟฟ้าสถิตและซับแรงกระแทก ใครที่ทำงานลุย ๆ กลางแจ้ง หรือฝนตกบ่อย ๆ รุ่นนี้ตอบโจทย์เลย
  • S7: รุ่นนี้ก็คล้าย S6 ครับ แต่เพิ่มความสามารถอีกขั้นด้วยแผ่นกันเจาะที่พื้น รองเท้าเซฟตี้ (เทียบได้กับ S3) แถมยังกันน้ำแบบเต็มตัวอีกด้วย ถือว่าเป็นตัวท็อปสำหรับคนที่ทำงานในสภาพแวดล้อมโหด ๆ จริง ๆ
  • เหมาะกับงานกลางแจ้ง งานที่ต้องเจอทั้งฝน โคลน และพื้นที่ที่อาจมีของแหลม ๆ หรืออุปกรณ์หนัก ๆ วางอยู่ เช่น งานก่อสร้างภายนอก ไซต์งานอุตสาหกรรมหนัก หรือทำงานในพื้นที่เปียกชื้นทั้งวัน

เช็กรหัสมาตรฐานของ รองเท้าเซฟตี้ ว่าต่างกันอย่างไร

รหัสคุณสมบัติเพิ่มเติมที่มักพบใน รองเท้าเซฟตี้

A – Antistatic

ช่วยลดโอกาสที่ไฟฟ้าสถิตจะสะสมจนช็อตใส่ หรือทำให้เกิดประกายไฟในพื้นที่แห้ง ๆ เช่น พื้นโรงงานที่มีฝุ่นหรือวัตถุไวไฟ ใครทำงานกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือเครื่องจักรละเอียด ๆ บอกเลยว่าคุณสมบัตินี้จำเป็นสุด ๆ

E – Energy Absorption

รองรับแรงกระแทกที่บริเวณส้นเท้า ช่วยซับแรงเวลาลงน้ำหนักตอนเดินหรือยืนทำงานนาน ๆ ได้ดีมาก ใครที่ต้องยืนทั้งวันหรือเดินบ่อย ๆ จะรู้สึกเลยว่าเท้าไม่ล้าจนลามไปถึงปวดหลังเหมือนตอนใส่รองเท้าธรรมดา

FO – Fuel Oil Resistant

พื้น รองเท้าเซฟตี้ ทนต่อน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นสิ่งที่เจอได้บ่อยมากในโรงงานหรืออู่ซ่อมรถ ช่วยลดโอกาสที่เราจะลื่นหัวทิ่มเวลาเหยียบพื้นเปื้อนน้ำมัน ถือว่าเป็นฟีเจอร์เล็ก ๆ ที่ช่วยให้เดินทำงานได้มั่นใจขึ้นเยอะเลยครับ

P / PL / PS – Penetration Resistance

  • P: แผ่นโลหะกันเจาะ
  • PL: แผ่น non-metal แบบทดสอบด้วยเล็บเหล็ก 4.5 มม.
  • PS: แบบ non-metal ทดสอบด้วยเล็บเหล็ก 3 มม.

WR / WPA – Water Resistance

WR คือ รองเท้าเซฟตี้ ที่สามารถกันน้ำได้ทั้งตัว ตั้งแต่ปลายเท้ายันข้อเท้า ใครที่ต้องลุยน้ำหรือทำงานกลางแจ้งในวันที่ฝนตกบ่อย ๆ จะชอบแน่นอน ส่วน WPA คือกันน้ำเฉพาะส่วนบนของ รองเท้าเซฟตี้ เช่น ด้านหน้าและด้านข้าง ซึ่งเพียงพอสำหรับงานที่มีแค่พื้นเปียกหรือเหยียบน้ำตื้น ๆ บ่อย ๆ ครับ

HRO – Heat Resistant Outsole

พื้น รองเท้าเซฟตี้ ทนความร้อนได้สูงสุดถึง 300°C เลยครับ เรียกได้ว่าเดินผ่านพื้นเหล็กร้อน ๆ หรือทำงานใกล้เตาหลอมก็ยังเอาอยู่ เหมาะสุด ๆ สำหรับใครที่ทำงานในโรงงานหล่อโลหะ งานเชื่อม หรือพื้นที่ที่อุณหภูมิพื้นสูงจนรองเท้าธรรมดาไม่รอด

CI / HI – Cold/Heat Insulation

พื้น รองเท้าเซฟตี้ รุ่นนี้ออกแบบมาให้ทนต่อสภาพอุณหภูมิสุดขั้วได้ครับ ไม่ว่าจะเป็นความเย็นแบบแช่แข็งจนเท้าแทบชา หรือพื้นร้อนแบบเดินผ่านเตาร้อน ๆ ก็ยังเอาอยู่ เหมาะมากกับคนที่ทำงานในห้องเย็น โรงแช่แข็ง หรือพื้นที่กลางแจ้งที่แดดจัดจนพื้นร้อนจี๋

M / AN – Metatarsal / Ankle Protection

เสริมเกราะบริเวณฝ่าเท้าหรือข้อเท้า เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับจุดสำคัญของเท้าเรา เหมาะกับคนที่ทำงานในพื้นที่เสี่ยง เช่น อาจมีของหนักหล่นใส่ หรือมีโอกาสโดนชนบริเวณเท้าบ่อย ๆ ใครที่ทำงานเหมือง ป่าไม้ หรืองานอุตสาหกรรมโหด ๆ บอกเลยว่าเกราะพวกนี้ช่วยเซฟเท้าไว้ได้เยอะเลยครับ

SC – Scuff Cap

เสริมขอบตรงปลาย รองเท้าเซฟตี้ ให้หนาขึ้น เพื่อป้องกันการถลอกหรือสึกจากการนั่งยอง ๆ หรืองานที่ต้องใช้ปลายเท้าสัมผัสกับพื้นบ่อย ๆ เหมาะมากกับช่างที่ต้องคุกเข่า ทำงานกับพื้น หรือหยิบจับของต่ำเป็นประจำ ช่วยยืดอายุ รองเท้าเซฟตี้ ได้เยอะเลยครับ

LG – Ladder Grip

พื้น รองเท้าเซฟตี้ ถูกออกแบบมาให้เกาะกับขั้นบันไดได้ดีเป็นพิเศษ เวลาเหยียบขั้นบันไดเหล็กหรือบันไดแบบกลม ๆ จะรู้สึกว่ามั่นคง ไม่ลื่นหลุดง่าย เหมาะกับคนที่ต้องปีนบันไดบ่อย ๆ อย่างช่างไฟ ช่างแอร์ หรือพนักงานซ่อมบำรุงที่ต้องขึ้นลงตึกเป็นประจำ

เช็กรหัสมาตรฐานของ รองเท้าเซฟตี้ ว่าต่างกันอย่างไร

วิธีอ่านรหัสบน รองเท้าเซฟตี้

ตัวอย่าง: "S3 WR HRO SRC"

  • S3: เป็นรหัสที่บ่งบอกว่ารองเท้ารุ่นนี้มีคุณสมบัติพื้นฐานแบบครบเครื่องระดับสูงเลยครับ
  • WR: กันน้ำได้ทั้งตัว ไม่ต้องห่วงถ้าเหยียบน้ำหรือเดินฝนตก
  • HRO: พื้นรองเท้าทนความร้อน ใครทำงานใกล้เตา พื้นร้อน ๆ สบายใจได้เลย
  • SRC: กันลื่นดีเยี่ยม ทดสอบมาแล้วทั้งพื้นกระเบื้องและพื้นเหล็กเปียก ๆ ใครเคยลื่นในโกดังจะเข้าใจว่าฟีเจอร์นี้ช่วยชีวิตยังไง!

เพิ่มเติมนิดนึง: หากเป็นรองเท้ามาตรฐานเวอร์ชันใหม่ จะใช้สัญลักษณ์ว่า "GRIP" แทนคำว่า SRC/SRA/GR แบบเดิม เพื่อสื่อถึงว่าผ่านการทดสอบในสถานการณ์จริงมากกว่าเดิมครับ

เลือก รองเท้าเซฟตี้ อย่างไรให้เหมาะกับงาน

งานก่อสร้าง

  • ควรเลือก รองเท้าเซฟตี้ ที่มีระดับ S3 หรือ S7 ครับ เพราะสองรุ่นนี้เรียกได้ว่าเหมาะสุด ๆ กับงานก่อสร้างที่ต้องลุยพื้นแข็ง พื้นเปียก หรือพื้นที่ที่อาจมีตะปู เศษเหล็ก ของแหลม ๆ อยู่ตลอดเวลา
  • โดยเฉพาะแผ่นกันทะลุ พื้น รองเท้าเซฟตี้ ที่ออกแบบมาให้กันลื่น และฟีเจอร์กันน้ำที่ช่วยให้เท้าไม่ชื้นไม่อับ แม้ต้องทำงานกลางฝนหรือในพื้นที่แฉะทั้งวัน

งานโลจิสติกส์/คลังสินค้า

  • S1 หรือ S3 ขึ้นอยู่กับสภาพพื้นที่ที่คุณต้องทำงานครับ ถ้าทำงานในที่ร่ม พื้นเรียบ ไม่เจออะไรแหลม ๆ หรือเปียกมากนัก S1 ก็เอาอยู่ แต่ถ้าพื้นที่เสี่ยงมีของหล่น พื้นไม่เรียบ หรือมีตะปู ตะแกรง ฯลฯ S3 จะตอบโจทย์มากกว่า
  • เรื่องน้ำหนักเบาและระบายอากาศได้ดีนี่สำคัญมากนะครับ เพราะคนทำงานในคลังสินค้าหรือโลจิสติกส์ต้องเดินเยอะ ยืนเยอะ ถ้า รองเท้าเซฟตี้ หนักหรืออบเท้าเกินไป วันนั้นมีเมื่อยล้าตั้งแต่ครึ่งวันแน่ ๆ

งานอาหาร/แช่แข็ง

  • S2 หรือ S6 + CI (กันความเย็น) เหมาะมากสำหรับคนที่ต้องทำงานในห้องแช่ ห้องเย็น หรือพื้นที่เก็บอาหารแช่แข็ง เท้าจะไม่เย็นจนชา และยังเดินได้สบาย ๆ ตลอดวัน
  • แนะนำให้เลือกรุ่นที่มีพื้นรองเท้าเป็นสีขาว กันลื่นได้ดี และไม่ทิ้งรอย เพราะพื้นที่พวกนี้มักจะต้องการความสะอาดสูง พื้นขาวช่วยให้ดูสะอาดตลอดเวลา และยังช่วยให้ผู้ควบคุมพื้นที่มองเห็นความผิดปกติได้ง่ายด้วยครับ

งานไฟฟ้า

  • ต้องเลือก รองเท้าเซฟตี้ ที่ไม่มีชิ้นส่วนโลหะเลยครับ (หรือที่เรียกกันว่า Metal-Free) เพื่อความปลอดภัยเวลาอยู่ใกล้แหล่งจ่ายไฟ หรือทำงานกับระบบไฟฟ้า
  • เน้นคุณสมบัติที่ช่วยลดความเสี่ยงเรื่องไฟฟ้า เช่น A (ป้องกันไฟฟ้าสถิต), FO (พื้นทนน้ำมัน เพราะบางพื้นที่มีทั้งน้ำมันและสายไฟ), และ E (ซับแรงกระแทกที่ส้นเท้าให้เดินยืนสบายทั้งวัน) ที่สำคัญคือต้องเลือกพื้นรองเท้าที่ไม่เป็นสื่อนำไฟด้วยครับ

งานหนักพิเศษ เช่น เหมือง หรือป่าไม้

  • แนะนำให้ใช้ รองเท้าเซฟตี้ รุ่นที่มีรหัส AN หรือ M ซึ่งออกแบบมาเสริมเกราะบริเวณข้อเท้าโดยเฉพาะ ช่วยป้องกันการกระแทกจากด้านข้างหรือของแข็งหล่นใส่ได้ดีมาก ๆ ครับ แถมถ้ารองเท้ามีพื้นแบบ PS (กันเจาะแบบละเอียด) ด้วยก็จะยิ่งมั่นใจเวลาเดินบนพื้นที่มีตะปูหรือของแหลม ๆ ซ่อนอยู่ ใครทำงานในเหมือง ป่าไม้ หรือโรงงานโลหะหนัก บอกเลยว่าคู่นี้แหละของมันต้องมี!
การเลือก รองเท้าเซฟตี้ ไม่ใช่แค่เลือกจากราคา หรือดีไซน์เท่านั้น แต่การรู้จักรหัสมาตรฐานต่าง ๆ จะช่วยให้คุณสามารถเลือกซื้อ รองเท้าเซฟตี้ ที่ปลอดภัย ใส่สบาย และตรงกับลักษณะงานมากที่สุด