Customers Also Purchased
เคล็ดลับการเลือก ปั๊มลม เครื่องสูบลม สำหรับใช้งานกับรถยนต์ที่ดีที่สุด
หลายครั้งที่ผู้ขับขี่รถยนต์จะต้องเผชิญสถานการณ์ที่ ลมยางอ่อนลงหรือเติมลมน้อยเกินไประหว่างการเดินทางในชีวิตประจำวันหรือเดินทางไกล หรือกรณีทิ้งรถจอดอยู่ในลานจอดรถไว้นาน แล้วอู่ซ่อมรถอยู่ไกลเกินไปและยางแบน ต่างจากรถมอเตอร์ไซค์ที่สามารถเข็นหรือนำไปที่อู่ซ่อมรถมอเตอร์ไซค์ได้ทันที ผู้ขับขี่จำเป็นต้องเตรียมตัวเผื่อในกรณีนี้ด้วยเครื่องเติมลมยางหรือปั๊มลมเล็กอเนกประสงค์เพื่อให้สามารถใช้งานสำหรับเติมลมได้ทันทีเมื่อจำเป็นหรือเกิดเหตุฉุกเฉิน
เคล็ดลับสำหรับการเลือก ปั๊มลม เครื่องสูบลม สำหรับรถยนต์มีดังนี้
ความสามารถในการเติมลมยางของ ปั๊มลมพกพา หรือ เครื่องเติมลมยาง คือปริมาณอากาศที่ถูกสูบเข้าไปในยางในช่วงเวลาหนึ่ง หากเครื่องเติมลมมีความจุที่มาก ยางก็จะพองลมได้เร็วขึ้น ดังนั้นควรตำนึงถึงขนาดของปั๊มลมด้วยเพราะ ปั๊มขนาดเล็กต้องใช้เวลาในการเติมลมยางนานกว่า ดังนั้นหากรถของคุณใช้ยางขนาดใหญ่ ขอแนะนำให้เลือกเครื่องเติมลมความจุสูงหรือขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อลดระยะเวลาในการเติมลม ในขณะเดียวกัน เครื่องเติมลมความจุขนาดเล็กจะเหมาะกับรถยนต์ที่ใช้เฉพาะยางที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดล้อเล็ก-กลางเท่านั้น
วิธีดูขนาดยางรถยนต์
สามารถดูรหัสบนแก้มยางโดยยางรถยนต์ได้โดยพื้นฐานแล้ว จะประกอบไปด้วย ขนาด และ วันผลิต ยกตัวอย่างเช่น 215/45 R17 91W. 215 ส่วนนี้บอกถึง ความกว้างของยาง 45 คือ ความสูงของแก้มยาง เท่ากับ 45% ของความกว้างยางและสุดท้าย R คือ ชนิดของยางโดยทั้งหมดมีหน่วยเป็นมิลลิเมตร
ทั้งนี้ประเภทของรถก็มีส่วนสำคัญอย่างเช่น รถกระบะ, SUV, MPV ต้องใช้เครื่องสูบลมที่มีความจุขนาดใหญ่ 60-80 L/P ขึ้นไป โดยมี 2 สูบหรือ 1 สูบ การใช้เครื่องสูบลมที่มีความจุน้อยเกินไปสำหรับรถยนต์ที่ต้องการอากาศปริมาณมากจะทำให้เครื่องสูบลมอาจจะเกิดการเสียหายขึ้นได้ เนื่องจากแรงดันที่ย้อนกลับมากเกินไป หรือความจุมากเกินไป ในทางตรงกันข้าม สำหรับยานพาหนะขนาดเล็ก เช่น รถยนต์ขนาด 7 ที่นั่งหรือน้อยกว่า เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ผู้ขับขี่สามารถเลือกเครื่องสูบลมที่มีความจุน้อยได้เช่นกัน
เลือก ปั๊มลม ที่มีแรงดันที่เหมาะสม
ปั๊มลม ขนาดเล็ก หรือ ที่เติมลมยางมีหลากหลายขนาดให้คุณได้เลือกซื้อ ผู้ขับขี่ควรเลือกตามประเภทของยาง ถ้าแนะนำควรเลือกให้เหมาะสำหรับยางทุกประเภทไว้ในรถเพื่อเติมลมยางได้ในทุกๆสถาณการณ์จำเป็น ยานพาหนะที่มียางขนาดใหญ่ จะต้องใช้ ปั๊มลม แบบไฟฟ้าเพื่อให้แน่ใจว่ามีขีดความสามารถในการให้แรงดันลมเพียงพอ และประหยัดเวลาในการเติมลมมากขึ้น เครื่องเติมลมยางแบบไฟฟ้าแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ เครื่องเติมลมขนาดเล็กแบบไฟฟ้าขนาดตั้งแต่ 12Vขึ้นไป มักใช้งานบนรถยนต์ และอีกประเภทคือ ปั๊มลม ที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ ปั๊มลม บางรุ่นใช้แบตเตอรี่แบบชาร์จไฟได้ซึ่งติดอยู่กับตัวเครื่องสูบลม แต่เนื่องจากแบตเตอรี่อาจจะให้พลังงานได้ไม่เท่าแบบมีสาย จึงเหมาะกับรถขนาดเล็กไม่เกิน 7 ที่นั่งมากกว่า
**ข้อควรรู้ เกี่ยวกับ ขนาดของปั๊มลม กับสัดส่วนยาง ยางเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดใหญ่ที่ใช้ในยานพาหนะ เช่น ปิ๊กอัพ, SUV และครอสโอเวอร์ อาจจะจำเป็นต้องเติมลมบ่อยๆ กว่าประเภทอื่น ขนาดที่เติมลมยางก็ต้องใช้แบบใหญ่เช่นกันเพื่อให้มั่นใจถึงความสามารถในการทำงานที่ได้ประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันรถซีดานหรือรถครอบครัว MPV มักใช้ยางที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางปานกลาง ปริมาณลมที่จะสูบไม่มากเท่ากับรถอื่นๆ เครื่องสูบลมที่แนะนำสำหรับรถยนต์ประเภทเหล่านี้ให้ขนาดเล็กเพื่อลดต้นทุนในการซื้อ และมีความจุลมอยู่ในระดับปานกลางจะเหมาะกว่า**
เปรียบเทียบปั๊มลม แบบมีสายและไร้สาย
- ปั๊มลม ครื่องสูบลมแบบมีสาย ปั๊มลม แบบมีสายจะใช้ปลั๊กไฟที่ประมาณ 12V ที่เชื่อมต่อกับแจ็ค 12V ของรถยนต์ เพื่อดึงพลังงานจากแบตเตอรี่ของรถยนต์โดยตรง มีความสะดวกและไม่จำเป็นต้องชาร์จแบตเตอรี่เพิ่ม ปั๊มลมสามารถทำงานได้ไปตลอดเท่าที่แบตเตอรี่รถยนต์ยังมีพลังงานเหลืออยู่แต่คุณอาจจะต้องติดเครื่องยนต์ไว้ขณะเติมลม
- ปั๊มลม เครื่องสูบลมไร้สาย เครื่องสูบลมไร้สายจะใช้แบตเตอรี่แบบชาร์จไฟได้เป็นตัวจ่ายพลังงานให้กับ มอเตอร์ของปั๊มลม เครื่องสูบลมไร้สายบางรุ่นมีแบตเตอรี่ในตัวที่สามารถชาร์จผ่าน USB หรือไฟ 120V ได้ ในขณะที่รุ่นอื่นๆ มีแบตเตอรี่แบบถอดได้ มีความยืดหยุ่นคือไม่ต้องพึ่งพาการเสีบสายให้ยุ่งยากและใช้งานง่ายกว่า แต่อาจจะให้แรงดันลมน้อยกว่าในบางกรณี
ลองดูรีวิวเปรียบเทียบกันคร่าวๆ
วิธีใช้ปั๊มลม ในการเติมลมยางรถยนต์
1. จอดรถ จอดรถบนพื้นราบแล้วดึงเบรกจอดรถ ตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีพื้นที่รอบยางเพียงพอ
2. ตรวจสอบแรงดันลมยาง ก่อนที่จะเติมลมยางรถยนต์ สิ่งสำคัญคือต้องทราบแรงดันลมยางที่แนะนำก่อน ดูได้ในคู่มือผู้ใช้รถ หรือบนสติกเกอร์ภายในวงกบประตูด้านคนขับ หรือบนแก้มยาง สังเกตค่า PSI ที่แนะนำ สำหรับยางแต่ละเส้น
3. เติมลมยาง คลายเกลียววาล์วออกจากยางแต่ละเส้น หากใช้เครื่องเติมลมยางพร้อมสายยาง ให้ต่อหัวฉีดเข้ากับก้านวาล์วให้แน่น
- ตั้งค่า PSI ที่ต้องการตามแรงดันลมยางที่แนะนำ
- เปิดสวิตช์เติมลมหรือปั๊มลม แล้วยางจะเริ่มพองตัว
- คอยดูเกจวัดแรงดันลมยาง (ถ้ามี) เพื่อตรวจสอบแรงดัน
4. ตรวจสอบแก้มยาง เพื่อดูแรงดันลมที่แนะนำ สำหรับรถยนต์และรถบรรทุก โดยปกติจะอยู่ระหว่าง 2.06 - 2.75 บาร์ (30 และ 40 psi) ในขณะที่จักรยานจะมีแรงดันอยู่ระหว่าง 1.37 - 8.7 บาร์ (20 ถึง 130 psi) ขึ้นอยู่กับขนาดและรูปแบบยาง
5. ปิดปั๊มลม และเก็บสายอย่างเป็นระเบียบ หลังจากการใช้งานแล้วข้อสำคัญที่หลายคนละเลยคือเก็บปั๊มลมและม้วนสายเติมลมให้ดี เพื่อความสะดวกในกาารใช้งานครั้งถัดไป
**หมายเหตุ เติมลมตามแรงดันที่แนะนำ ระวังอย่าเติมลมมากเกินไป เนื่องจากอาจทำให้ยางเสียหาย ในกรณีที่ยางมีแรงดันลมมากเกินไป ให้ค่อยๆปล่อยลมบางส่วนออก โดยกดหมุดก้านวาล์วด้วยวัตถุขนาดเล็กจนกระทั่งแรงดันถึงที่เหมาะสมจากนั้นปิดวาวล์ลมยางให้แน่น**
สรุป
การเลือก ปั๊มลม เครื่องอัดลม สำหรับรถยนต์ต้องคำนึงถึงความสามารถในการเติมลมยาง เครื่องปั๊มลมที่มีแรงดันมากช่วยให้ยางพองลมได้เร็วขึ้น ดังนั้นควรพิจารณาขนาดของปั๊มลม เพราะปั๊มขนาดเล็กอาจใช้เวลาในการเติมลมยางนานกว่าถ้าใช้ยางขนาดใหญ่ ควรเลือกปั๊มลม สำหรับเติมลมแรงดันสูง เพื่อลดระยะเวลาในการเติมลม ปั๊มลมพกพา ขนาดเล็กเหมาะกับรถยนต์ที่ใช้ยางขนาดเล็ก - กลางเท่านั้นการเลือกปั๊มลมที่เหมาะสม จะช่วยให้การดูแลรักษารถยนต์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพครับ
บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
- วิธีการเลือกและติดตั้ง ปั๊มลม เครื่องอัดลม ที่ถูกต้องให้ใช้ได้ทุกงาน
- วิธีเลือกขนาด 5 ปั๊มลมสายพาน PUMA ให้ใช้งานได้ประโยชน์สูงที่สุด
คำถามที่พบบ่อย
1. เลือก ปั๊มลม สำหรับใช้กับแบตเตอรี่รถยนต์ต้องกี่โวลต์
ตอบ ปั๊มลม ที่ใช้ไฟจากแบตเตอรี่รถยนต์จะใช้ไฟที่ 12 โวลต์ และไม่เกิน 18 โวลต์
2. รถยนต์ขนาดเล็ก-ขนาดกลางควรใช้ปั็มลมที่มีแรงดันกี่บาร์
ตอบ สำหรับรถยนต์ขนาดเล็ก ควรใช้ปั๊มที่มีแรงลมที่ 25 - 30 PSI ส่วนขนากลางจะอยู่ที่ 30 - 35 PSI
3. ถ้าใช้ปั๊มลมขนาดไม่เหมาะสมกับยางรถยนต์จะเป็นยังไง
ตอบ อาจจะใช้เวลาเติมลมที่นานขึ้นกว่าเดิม หรือบางครั้งอาจจะไม่ได้แรงดันในลมที่ต้องการ