Customers Also Purchased
ลองจินตนาการว่าคุณกำลังเร่ง บล็อกลม สุดมือ แต่น็อตก็ไม่ขยับเลย ทั้งที่ตอนเช้า ๆ ยังขันแป๊บเดียวหลุด เสียงที่เคยแน่น กลายเป็นเสียงสั่นแผ่วเหมือนบล็อกลมเริ่มหมดแรง เรื่องแบบนี้ ทำเอาช่างหลายคนหงุดหงิดไปตาม ๆ กันครับ คิดว่า บล็อกลมพัง? หรือระบบลม ทั้งระบบ มีปัญหาใหญ่
ความจริงคือ บล็อกลม “แรงตก” นั้น เป็นหนึ่งอาการที่เจอบ่อยที่สุดในอู่ซ่อมรถ และงานหนักทุกประเภทครับ และส่วนใหญ่ ไม่ใช่เครื่องพัง แต่เป็นเรื่องเล็ก ๆ ที่เรามองข้ามกันประจำ
เพราะงั้น เรามาดูกันแบบเจาะลึกเลยดีกว่าครับ ว่าจริง ๆ แล้วแรงของบล็อกลมหายไปตรงไหนกันแน่ หายตั้งแต่ต้นทางที่ปั๊มลม? หายระหว่างทางตามท่อ และสายลม? หรือจริง ๆ เครื่องมือลมที่เราถืออยู่ในมือนั่นแหละที่เริ่มล้า แถมบางทีพฤติกรรมเราเองนี่แหละที่เผลอไปใช้งานบล็อกลม หนักเกินกว่าที่มันควรจะต้องเจอในแต่ละวันแบบไม่รู้ตัว
เพราะต่อให้คุณซื้อบล็อกลมดีแค่ไหน จากแบรนด์ระดับโลกก็ตาม ถ้าระบบลมไม่สมบูรณ์ หรือดูแลกันแบบตามมีตามเกิด แรงก็หายได้อยู่ดีครับ ดังนั้น เรามาไล่ทีละจุดเหมือนกำลังไล่สายลมไปด้วยกัน ตั้งแต่ปั๊มลม ถังลม ท่อ สาย ข้อต่อ ไปจนถึงในตัวบล็อกลมเอง ให้รู้ว่ามีอะไรที่ปรับปรุงได้แบบง่าย ๆ บ้าง โดยไม่ต้องรีบยกไปให้ร้านซ่อมดูทุกครั้งที่รู้สึกว่าแรงมันแผ่วลง
1. ต้นทาง: ปั๊มลมสะดุดนิดเดียว บล็อกลม ออกอาการทันที
ใช้ บล็อกลม ต้องมีปั๊มลมขนาดเท่าไหร่กันแน่? เล็กไป จะเกิดอะไรขึ้น? นี่คือสาเหตุอันดับหนึ่งของแรงตกในทุก ๆ งานเลยครับ ยิ่งช่วงเร่งงาน เช่นต้องใช้ค้อนลม หรือบล็อกลมขนาด 1/2”–1” ต่อเนื่อง ถ้าปั๊มลมปล่อยลมได้ไม่พอ บล็อกลมจะเกิดอาการ “แรงตก” แบบเห็นได้ชัด
- อาการที่เจอ: บล็อกลมเริ่มเสียงเบาลง รอบหมุนลดลง ต้องรอให้ปั๊มลมตัด–ต่อเป็นรอบ ๆ
- ค่าที่ควรรู้: บล็อกลมทั่วไปต้องการลมประมาณ 90 PSI อัตราลม (CFM) สัมพันธ์กับขนาดปั๊มลม ถ้า CFM ไม่ถึง บล็อกลมจะไม่สามารถ ทำงานเต็มได้กำลัง

นอกจากนี้ปัญหาต้นทางอย่าง ปั๊มลม นั้น ยังมีสาเหตุอื่น ๆ อีกครับ เช่น:
ถังลมมีน้ำสะสมเยอะเกินไป
ผมเคยเจอเคสหนึ่ง ถังลม 200 ลิตร เปิดออกมามีน้ำเกือบครึ่งแก้ว ทุกครั้งที่ บล็อกลมทำงาน ลมที่ออกมาเต็มไปด้วยละอองน้ำ ทำให้กำลังลดลง แบบสังเกตได้ทันที
หลายคน ลืมปล่อยน้ำออกจากถังลม ยิ่งอากาศชื้น ยิ่งสะสมง่าย พอน้ำมาก ลมที่ใช้งานได้จะลดลง แรงจ่ายลมออกจากถังตก ผลที่ตามมาคือ ลมปะปนกับน้ำ ทำให้ลมเบา และ ความชื้นเข้าไปในบล็อกลม ทำให้ใบพัดสึกเร็ว
ตั้งแรงดันเรกกูเลเตอร์ ต่ำเกินไป
บางคนตั้งแรงดันไว้ 70–80 PSI ด้วยความเข้าใจว่าประหยัดไฟ ปละให้ปั๊มลมไม่ต้องทำงานหนัก แต่บล็อกลมส่วนใหญ่ต้องใช้แรงดัน 90 PSI เพื่อทำงานเต็มกำลังครับ ถ้าน้อยกว่านั้น แรงตกแน่นอน
2. ระหว่างทาง: สาย ท่อ ข้อต่อ มีผลมากกว่าที่คิด
ลองนึกภาพลมที่วิ่งออกจากปั๊มลม แล้วต้องเดินทางผ่านท่อ สายลม และข้อต่ออีกหลายจุดก่อนจะถึงบล็อกลม ระหว่างทางนี่แหละครับ คือจุดที่หลายคนมองข้าม เพราะแค่ท่อเล็กไปนิดเดียว หรือข้อต่อหลวมแค่ปลายเกลียวเดียว ก็ทำให้บล็อกลมอ่อนแรงได้
ท่อลมเล็กเกินไป (เส้นผ่านศูนย์กลางต่ำ)
หลายอู่ใช้ท่อ 1/4" ทั้งระบบเพราะราคาถูก แต่ลมเดินไม่ทัน ยิ่งเวลาบล็อกลมเร่งรอบสูง ๆ ผลที่เกิดขึ้นคือ แรงดันปลายทางตก บล็อกลมหมุนไม่สุดรอบ เสียงออกมา "แผ่ว" เหมือนหายใจไม่ทันถ้าจะให้ดี ตามมาตรฐานคือ ควรใช้ท่อ 3/8” หรือ 1/2” จะดึงประสิทธิภาพบล็อกลมออกมาได้เต็มกำลังครับ
สายลมยาวเกินไป หรือขดเป็นสปริงหลายชั้น
สายลมยิ่งยาว แรงดันยิ่งตกครับ เหมือนคุณใช้สายยางรดน้ำยาว 20 เมตร จะรู้สึกว่าน้ำแรงน้อยลง บล็อกลมก็ไม่ต่างกัน
สายที่ยาวเกินไปอาจทำให้ ต้องเร่งหลายทีถึงจะหมุนเต็ม ใช้กับงานหนักแทบไม่ขึ้น กลายเป็นเหมือนต้องสะสมรอบอยู่นานกว่าที่เครื่องจะตอบสนองได้ตามต้องการ ซึ่งทำให้การทำงานล่าช้าอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งเวลาต้องขันน็อตที่แน่นมากหรือเจองานที่ต้องการแรงดึงสูง
พอบล็อกลมต้องสูญเสียแรงดันไปกับระยะทางของสายยาว ๆ ก็จะยิ่งทำให้ต้องเร่งซ้ำ ๆ ทำให้คุณรู้สึกว่าเครื่องทำงานช้าลง เหนื่อยกว่าเดิม และใช้ได้ไม่เต็มประสิทธิภาพเท่าที่ควร
ดังนั้น ถ้าสายยาวเกิน 15–20 เมตร แล้วไม่ได้ใช้สายขนาดใหญ่ ๆ บล็อกลมแรงตกแน่นอน
ข้อต่อลมรั่ว หรือกาวเทปพันเกลียวเสื่อม
อันนี้ก็เจอบ่อยเหมือนกันครับ แค่รั่วจุดเดียว แรงลมจะตกแบบต่อเนื่องได้ ของบางคนอาจรั่วตั้งแต่ต้นทางที่ถังลมเลยก็มีครับ
วิธีเช็คง่าย ๆ คือ เอาสบู่ป้ายตามข้อต่อ ถ้ามีฟองผุด แสดงว่ามีรูรั่ว หรือการรั่วซึมของลม ที่เรามองไม่เห็น
ไส้กรองลมตัน หรือไม่ได้เปลี่ยนมานาน
ถ้าฟิลเตอร์ตัน ลมผ่านก็ได้น้อยลง ส่งผลให้แรงดันตกได้เหมือนกัน บางคนคิดว่าบล็อกลมพัง แต่จริง ๆ แค่ไส้กรองตันจนลมผ่านไม่พอครับ
3. แรงตกจากตัว บล็อกลม เอง: ไม่ได้พัง แค่ต้องดูแลอะไหล่
หลายครั้งที่ช่างหยิบ บล็อกลม ขึ้นมาแล้วพบว่าเครื่องยังหมุน แต่แรงกลับหายไปแบบงง ๆ ระบบลมก็ดูปกติ นี่แหละครับคือช่วงเวลาที่เราควรหันกลับมาดูตัวเครื่องเองบ้าง
ภายในบล็อกลมนั้นมีชิ้นส่วนเล็ก ๆ หลายจุดที่ต้องพึ่งพาการหล่อลื่น และสภาพการทำงานที่เหมาะสมมาก ถ้าดูแลไม่ถูกต้องก็อาจทำให้บล็อกลมให้แรงบิดต่ำลง และใช้งานจริงไม่ได้ตามที่หวังครับ
บล็อกลม ขาดน้ำมันเครื่องมือลม (Air Tool Oil)
นี่คือความผิดพลาดที่ช่างจำนวนมากมองข้ามครับ บล็อกลมนั้นต้องใช้น้ำมันหล่อลื่น เพื่อให้ชิ้นส่วนภายในทำงานลื่นไหลเต็มประสิทธ์ภาพ ไม่ต่างจากเครื่องยนต์
เมื่อบล็อกลมขาดน้ำมัน ใบพัดภายในจะฝืด ทำให้หมุนไม่สุด แรงก็ตกแบบกะทันหัน และอายุการใช้งานลดลง

ใบพัด (Vane) สึก
ใบพัด หรือใบเวน เป็นอะไหล่ที่สึกเร็วที่สุดในบล็อกลมครับ เพราะมันทำงานโดยการเสียดสีกับผนังโรเตอร์ตลอดเวลา ทุกครั้งที่เรากดไก ลมจะดันใบพัดให้กางออก และหมุนตามรอบ หมายความว่าอะไหล่นี้ทำงานหนักทุกครั้งที่ใช้ อู่ที่ต้องใช้งานต่อเนื่อง เช่น อู่รถบรรทุก ร้านยาง งานซ่อมรถเกษตร หรือร้านที่ต้องขัน และคลายน็อตจำนวนมากตลอดทั้งวัน
การเสียดสีที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ทำให้ใบพัดเป็นชิ้นส่วนที่เริ่มสึกก่อนใครเสมอ อาการเมื่อใบพัดเริ่มสึกคือ:
- เสียงหมุนครืด ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนเครื่องเริ่มสะดุดจากข้างใน
- แรงตกแต่ไม่คงที่ หมุนบ้างไม่หมุนบ้าง โดยเฉพาะเวลาต้องการแรงบิดสูง
- เร่งไม่ขึ้น แม้จะเปิดลมเต็ม แต่รอบกลับขึ้นแบบอืด ๆ เหมือนลมดันไม่สุด
หลายคนจะงงมากตอนเจออาการนี้ เพราะบล็อกลมยังหมุนอยู่ เสียงก็ยังมา แต่ “แรงไม่มี” นั่นคือสัญญาณว่าใบเริ่มสึก จนซีลลมภายในห้องโรเตอร์ไม่ได้ดีเหมือนเดิม ลมที่ควรจะถูกดันให้เกิดการหมุนกลับรั่วไหลออกไป ทำให้แรงดัน และแรงบิดลดน้อยลงเรื่อย ๆ ยิ่งปล่อยไว้นาน เครื่องจะยิ่งแรงตกจนแทบใช้งานไม่ได้ และอาจลากให้โรเตอร์สึกตามไปด้วย ทำให้ค่าซ่อมสูงขึ้น
โรเตอร์ หรือชุดเกียร์ใน บล็อกลม เริ่มหลวม
ถ้าโรเตอร์หลวม หรือมีรอยสึก ลมจะรั่วในตัวเครื่องจนเสียแรงดัน ทำให้บล็อกลมออกแรงได้ไม่เต็มที่เหมือนเดิม แถมยังทำให้รอบหมุนแกว่ง ๆ เหมือนเครื่องลังเลว่าจะหมุนต่อ หรือหยุดดี ยิ่งถ้ารอยสึกเริ่มลุกลาม ลมจะยิ่งรั่วมากขึ้นจนแรงตกแบบชัดเจน บางครั้งถึงขั้นหมุนได้แต่ไม่มีแรงบิดให้ใช้งานเลยก็มีครับ
อาการแบบนี้ต้องให้ช่างผู้ชำนาญรื้อเช็ค เพราะเป็นจุดที่ต้องใช้ความละเอียดและความชำนาญในการดูสภาพผิวโรเตอร์ เกียร์ และจุดสัมผัสภายในทั้งหมด เพื่อประเมินว่าควรซ่อม เปลี่ยน หรือปรับตั้งใหม่ให้กลับมาใช้งานได้เต็มที่
5. การใช้งาน: เรื่องเล็ก ๆ ที่ทำให้ บล็อกลม ล้าเร็ว
พฤติกรรมการใช้งานในชีวิตประจำวันเองก็เป็นหนึ่งในตัวการสำคัญที่ทำให้บล็อกลมแรงตกแบบไม่รู้ตัวครับ เพราะแม้ระบบลมจะดี สายจะใหญ่ ปั๊มจะพร้อม ถ้าเราใช้งานแบบต่อเนื่องยาวนานเกินกว่าที่ตัวเครื่องรองรับ หรือใช้งานแบบผิดประเภท เครื่องก็จะเริ่มล้า แรงเริ่มตก และตอบสนองช้าลงอย่างเห็นได้ชัด
บางครั้งบล็อกลมที่ “เหมือนพัง” จริง ๆ ไม่ได้พังเลย แต่แค่โดนใช้งานหนักเกินกำลัง หรือได้รับการดูแลผิดวิธี จนเกิดผลสะสมแบบไม่รู้ตัว ยกตัวอย่างตามนี้ครับ:
อัดงานหนักต่อเนื่องโดยไม่พัก
หนึ่ง เหตุผลที่ บล็อกลม ยังแพร่หลายในยุคของเครื่องมือไฟฟ้า ก็เพราะหลายคนเข้าใจว่าบล็อกลม “ทนกว่า” บล็อกไฟฟ้า ซึ่งก็จริงครับ แต่ถ้าอัดงานหนักต่อเนื่องนานเกินไป เครื่องจะร้อนจนแรงตกได้เหมือนกัน
ใช้น้ำมันเครื่อง แทนน้ำมันเครื่องมือลม
มีเรื่องเล่าต่อกันในวงช่างว่า บางคนหยอดน้ำมัน ให้บล็อกลมทุกวันก็จริง แต่ใช้น้ำมันเครื่องรถแทนน้ำมันลม ซึ่งมีความหนืดสูงเกินไปสำหรับเครื่องมือลมครับ ทำให้เครื่องฝืด แรงตกในระยะยาว เพราะคราบเหนียวสะสม
ใช้ บล็อกลม ผิดขนาดกับงาน
บล็อกลม 1/2” ไม่ได้ออกแบบมาถอดน็อตล้อรถบรรทุก 10 ล้อครับ แต่บางอู่ก็ยังใช้ เพราะคิดว่า “น่าจะไหว” แล้วสุดท้ายก็บิดไม่ออก จนคิดว่าเครื่องพัง ทั้งที่เป็นเรื่องการเลือกเครื่องมือผิดประเภทมากกว่า

สรุป: บล็อกลม แรงตก ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว
หลายคนรีบส่งบล็อกลมเข้าซ่อม ทั้งที่ปัญหาไม่ใช่เครื่องเลยครับ แต่เป็นเรื่องพื้นฐานอย่างน้ำในถังลม สายลมเล็ก หรือขาดน้ำมันลม ซึ่งใช้เวลาแก้ไม่ถึง 5 นาที แรงก็กลับมาเหมือนเดิม
การใช้บล็อกลมให้แรงดีตลอดทั้งวัน ไม่ใช่เรื่องเทคนิคซับซ้อนอะไรเลย ขอแค่ ระบบลมดี การบำรุงรักษาถูกต้อง และเลือกขนาดบล็อกลม ให้เหมาะกับงาน ถ้าทำครบสามอย่างนี้ บล็อกลมแทบจะไม่สะดุดเลยครับ และยังช่วยยืดอายุเครื่องไปยาว ๆ ประหยัดค่าซ่อมไปอีกมาก
งานดี แรงไม่ตก เริ่มต้นได้ตั้งแต่การเลือก บล็อกลม ไปจนถึง การใส่ใจรายละเอียดเล็ก ๆ ทั้งก่อน ระหว่าง และหลังใช้
TH
English




