Customers Also Purchased
เช้าวันอาทิตย์ที่ตื่นแต่เช้า เพื่อที่จะรดน้ำสวนสักหน่อย ตั้งใจเต็มที่เพราะเพิ่งไปสอย ปั๊มเพลาลอย ตัวใหม่กลับมาเมื่อวานก่อน พอไปถึงก็จัดการยกปั๊มขึ้นแท่น ต่อเพลา ต่อพูลเล่ย์ เรียบร้อย สตาร์ทเครื่องยนต์ น้ำเริ่มไหล แต่…ไหลเอื่อย นิ่ง ๆ เบา ๆ สุดท้ายกลายเป็นว่า ได้ปริมาณน้ำไม่ถึงครึ่ง! แถมเครื่องยนต์ยังร้อนจัด เสียงเครื่องถ้ามันบ่นได้ มันคงกำลังบ่นเราในใจว่า “ทำงานเกินตัวไปแล้วเฮ้ย!”
แล้วตกลงว่า ปั๊มเพลาลอย ตัวนี้ ต้องใช้กับเครื่องยนต์กี่แรงม้ากันแน่ ถึงจะไหว? ในบทความนี้เลยอยากชวนมาคุยกันแบบสบาย ๆ พอให้คุณเอาไปใช้เลือกจริงได้ ว่า ปั๊มเพลาลอย แต่ละขนาด ต้องจับคู่กับเครื่องยนต์ประมาณเท่าไหร่ ใช้เครื่องเล็กไปจะเกิดอะไร? และถ้าอยากให้ทำงานลื่น ๆ ไม่พังก่อนเวลาอันควร ควรเผื่อกำลังแค่ไหนครับ
ปั๊มเพลาลอย คืออะไร? ทำไมถึงต้องคิดเรื่องแรงม้าให้ดี
ปั๊มเพลาลอย ถ้าพูดให้เห็นภาพง่าย ๆ มันคือ ตัวปั๊มเปล่า ๆ ที่ไม่มีมอเตอร์ในตัว ต้องใช้เพลาและพูลเล่ย์ต่อกับต้นกำลังอย่างเครื่องยนต์เบนซินหรือดีเซลอีกที ข้อดีก็คือ เราสามารถเลือกจับคู่กับเครื่องยนต์หลากหลายขนาดตามงาน และเปลี่ยนเครื่องได้หากมีเครื่องอยู่แล้วที่ไร่หรืออู่ ไม่จำเป็นต้องซื้อปั๊มแบบมีเครื่องในตัวทุกครั้ง
- จะให้ปั๊มหมุนที่รอบเท่าไหร่
- ต้องส่งน้ำขึ้นสูงกี่เมตร
- ท่อส่งใหญ่แค่ไหน ปริมาณน้ำที่ต้องการต่อชั่วโมงคือเท่าไหร่
- มีระยะดูดลึกหรือยาวมากไหม
แต่ข้อเสียก็คือ ถ้าเลือกขนาดเครื่องยนต์ผิด งานจะสะดุดทันทีครับ เพราะ ปั๊มเพลาลอย ต่างจากปั๊มหอยโข่งตัวเล็กในบ้านที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าสำเร็จรูป ทุกอย่างถูกจับคู่มาให้เรียบร้อยแล้ว แต่… ปั๊มเพลาลอย คุณคือคนต้องแมตช์คู่เอง ว่าตัวปั๊มกินแรงประมาณเท่าไหร่ แล้วเครื่องยนต์ที่มีอยู่จะไหวไหม พูดแบบง่าย ๆ คือ ปั๊มเพลาลอย มันไม่ได้ถามแค่ว่า “เครื่องกี่แรงม้า” แต่มันถามต่อเลยว่า
ทั้งหมดนี้กำหนดว่า เครื่องที่คุณใช้ “พอ” หรือ “ฝืน” ครับ

แรงม้า ซีซี พูลเล่ย์ และรอบ ปั๊มเพลาลอย ภาพรวมที่ต้องเข้าใจก่อน
เวลาเราพูดกันว่าเครื่อง 5.5 แรง 6.5 แรง 9 แรง ส่วนใหญ่มักพูดถึงแรงม้าแต่เวลาไปซื้อเครื่องยนต์กลับเห็นระบุเป็น “ซีซี” เช่น 196 cc, 212 cc, 389 cc แล้วมันไปด้วยกันยังไง? พูดแบบหยาบ ๆ ก่อนว่า เครื่องยนต์เบนซินที่เราใช้กับ ปั๊มเพลาลอย ในบ้านเรา ส่วนใหญ่จะอยู่ประมาณนี้ครับ
- 5.5 แรงม้า อยู่แถว ๆ 160–200 cc
- 6.5–7 แรงม้า อยู่ราว ๆ 200–220 cc
- 9–13 แรงม้า อยู่ราว ๆ 300–400 cc ขึ้นไป
ตัวเลขเหล่านี้บอกเราคร่าว ๆ ว่าเครื่องตัวนี้มีพลังมากน้อยแค่ไหน? แต่เวลามันไปเจอกับปั๊มจริง ๆ ยังต้องผ่านอีกสองเรื่องสำคัญคือ พูลเล่ย์ และ รอบหมุนของปั๊ม
ลองนึกภาพง่าย ๆ ว่า เครื่องยนต์หมุนอยู่ที่ 3,600 รอบต่อนาที (ซึ่งเป็นรอบสูงสุดโดยประมาณของเครื่องเบนซินเล็ก) แต่ตัวปั๊มอาจต้องการรอบใช้งานที่ 2,800 รอบ หรือบางรุ่นทำงานดีที่ 3,000 รอบ เราก็จะใช้พูลเล่ย์ช่วยทดรอบให้เหมาะ
- ถ้าพูลเล่ย์เครื่องเล็ก พูลเล่ย์ปั๊มใหญ่ = ทดรอบลง แต่เพิ่มแรงบิด
- ถ้าพูลเล่ย์เครื่องใหญ่ พูลเล่ย์ปั๊มเล็ก = รอบสูงขึ้น แต่เครื่องต้องใช้แรงมากขึ้น
หลายคนจับคู่แบบคร่าว ๆ แค่ให้สายพานตึงแล้วหมุนได้ แต่ไม่เคยคิดว่าจริง ๆ แล้วปั๊มกำลังหมุนที่รอบเท่าไหร่ กลายเป็นว่าบางงาน “หมุนแรงเกินจำเป็น” ทำให้กินแรงเครื่องมากโดยไม่เพิ่มประสิทธิภาพจริง หรือหมุนช้าเกินไป น้ำก็เลยไม่แรงเท่าที่ควร
ไหวไม่ไหวไม่ได้ดูแค่แรงม้า แต่ดูงานที่ทำด้วย!
สมมติคุณมี ปั๊มเพลา ลอยขนาด 2 นิ้ว 3 นิ้ว หรือ 4 นิ้ว ตัวเลขพวกนี้ไม่ได้บอกแค่ขนาดท่อครับ แต่มันเหมือนบอกนิสัยของปั๊มว่ามัน กินน้ำเยอะไหม และ ต้องการแรงขนาดไหนถึงจะหมุนลื่น บางคนเห็นปั๊ม 3 นิ้วก็คิดว่าเอาเครื่องเล็ก ๆ มาหมุนก็น่าจะไหว แต่พอใช้งานจริงปั๊มกลับ ไม่ไป น้ำแผ่วเหมือนคนเพิ่งตื่นนอน ทั้งที่ความผิดไม่ได้อยู่ที่ปั๊มเลย แต่อยู่ที่กำลังเครื่องมันไม่ถึงครับ
จริง ๆ แล้ว ปั๊มเพลาลอย มันก็เหมือนคนทำงานนี่แหละ งานหนักก็ต้องใช้แรงเยอะ งานเบาหน่อยก็ไม่ต้องเปลืองกำลังมาก ซึ่งปัจจัยที่ทำให้มัน เหนื่อยหรือสบาย มีประมาณนี้ครับ
- ขนาดปากดูด/ส่ง ปากยิ่งใหญ่ก็เหมือนโกยน้ำทีละเยอะ ๆ ปั๊มเลยต้องใช้แรงมากขึ้นเป็นธรรมดา
- ระยะส่งขึ้นที่สูง (Head) อันนี้คล้ายแบกของขึ้นเขา ยิ่งสูงยิ่งเหนื่อย ต่อให้ปริมาณน้ำไม่ได้เยอะ แต่ต้องปีนขึ้นสูง ปั๊มก็ต้องใช้กำลังมากขึ้น
- ระยะดูดลึก/ยาว ดูดจากบ่อตื้น ๆ 1 เมตร กับบ่อลึก ๆ 3–4 เมตร มันเหมือนดูดน้ำจากแก้ว vs ดูดจากขันใหญ่ที่อยู่ลึกลงไป ความฝืดของน้ำมันต่างกันเยอะครับ
- ขนาดและความยาวของท่อ ท่อยาวหลายสิบเมตร โค้งสองสามที แถมมีข้อต่ออีก น้ำไหลช้าลงเพราะแรงเสียดทานเพิ่ม ปั๊มก็ต้องออกแรงมากขึ้น
- ลักษณะของน้ำ –น้ำใส ๆ ก็สบายปั๊ม แต่น้ำขุ่น น้ำมีตะกอน เศษหญ้า… ปั๊มต้องฝืนแรงหนืดมากขึ้น แรงเครื่องก็ต้องเผื่อเพิ่มเช่นกัน
พูดง่าย ๆ ครับ ปั๊มเพลาลอย ไม่ได้เลือกเครื่องจาก ขนาดปั๊ม แต่อิงตาม สภาพงานจริง มากกว่า ปั๊มเดียวกัน เอาไปดูดน้ำใส ๆ ระยะสั้น ใช้เครื่องเล็กก็วิ่งลื่น แต่ถ้าเอาไปดูดน้ำขุ่นจากบ่อลึก ส่งขึ้นเนินอีก 6–7 เมตร… เครื่องตัวเดิมนี่แทบจะวิ่งหอบเลยครับ
ประมาณนี้เลยครับ เพิ่มความเป็นกันเองแบบเล่าให้ฟังจากประสบการณ์ที่เจอมาหน้างานบ่อย ๆ ถ้าอยากให้ต่อยอดเป็นย่อหน้าในบทความยาว หรืออยากเพิ่มมุกเบา ๆ ให้มันมีชีวิตชีวากว่านี้ บอกผมได้เลยนะครับ!

ประสบการณ์จากหน้างาน : ปั๊มเพลาลอย 2 นิ้ว 3 นิ้ว 4 นิ้ว ใช้เครื่องประมาณเท่าไหร่ดี
มาถึงตรงนี้ หลายคนอาจอยากได้ตัวเลขคร่าว ๆ ว่า “แล้วสรุปต้องใช้เครื่องเท่าไหร่ล่ะ?” เดี๋ยวผมเล่าเป็นภาพรวมจากที่คุยกับลูกค้า ช่างเกษตร และดูสเปกของปั๊มเพลาลอยยอดนิยมหลาย ๆ รุ่นประกอบกันให้ครับ (ตัวเลขนี้เป็นแค่แนวทางทั่วไปนะครับ ยังต้องดูลักษณะงานจริงประกอบด้วยเสมอ)
ปั๊มเพลาลอย 2 นิ้ว ตัวเล็กคล่องตัว เครื่อง 5.5–7 แรงม้าก็เอาอยู่
งานยอดนิยมของ ปั๊มเพลาลอย 2 นิ้วคือ สูบน้ำจากคลองเข้าแปลงผัก ส่งขึ้นเนินไม่มากนัก หรือใช้ถ่ายน้ำจากบ่อไปอีกบ่อหนึ่ง ระยะส่งไม่ไกลมาก ส่วนใหญ่ถ้าใช้งานทั่ว ๆ ไป แบบไม่โหดมาก
- เครื่องยนต์เบนซินราว ๆ 5.5–7 แรงม้า โดยมากถือว่า “พอ”
- ใช้ร่วมกับการตั้งพูลเล่ย์ให้รอบปั๊มอยู่ในช่วงที่ผู้ผลิตกำหนด
แต่ถ้าคุณเริ่มใช้แบบโหดขึ้น เช่น
- ส่งขึ้นสูง 15–20 เมตร
- ท่อยาวเกิน 100 เมตร มีโค้งหลายจุด
- น้ำมีตะกอนเยอะ
บางครั้ง 5.5 แรงก็จะเริ่มหอบครับ หลายคนจึงขยับไปใช้เครื่อง 7–9 แรงเพื่อให้เหลือกำลังไว้เผื่อและให้เครื่องไม่ทำงานหนักเกินไปตลอดเวลา
ปั๊มเพลาลอย 3 นิ้ว ตัวกลางสารพัดประโยชน์ เครื่อง 7–9 แรงกำลังสวย
ปั๊มเพลาลอย 3 นิ้ว นี่แหละครับ ที่หลายสวนใช้มากที่สุด เพราะปริมาณน้ำต่อชั่วโมงค่อนข้างดี และยังไม่ใหญ่เทอะทะเกินไป จากที่เจอมา ถ้างานสูบน้ำทั่วไป เช่น
- สูบจากคูน้ำเข้าแปลง ระยะส่ง 50–100 เมตร
- ส่งขึ้นสูงไม่เกิน 10–15 เมตร
ส่วนใหญ่จะจับคู่กับเครื่องยนต์ราว ๆ 7–9 แรงม้า แล้วอยู่ในโซนที่พอดี ไม่โหดเกินไป ไม่อืดจนเครียด แต่ถ้าใครใช้ ปั๊มเพลาลอย 3 นิ้วไปกับงานที่ต้องส่งน้ำขึ้นที่สูงมาก หรือใช้ท่อยาวมาก ๆ บางเคสที่ผมเจอมาถึงกับขยับไปใช้เครื่อง 11–13 แรง เพื่อให้รอบไม่ตกเวลาบรรทุกเต็มกำลัง ปั๊มทำงานได้เต็มประสิทธิภาพขึ้น
ปั๊มเพลาลอย 4 นิ้ว งานหนัก ส่งน้ำเยอะ ต้องมีเครื่องแรงพอ
ปั๊มเพลาลอย 4 นิ้ว ส่วนใหญ่ลูกค้าที่ซื้อไปมักมีงานค่อนข้างจริงจัง เช่น สูบน้ำเข้านาพื้นที่ใหญ่ ใช้ในไร่อ้อย ไร่มัน หรือใช้ในงานก่อสร้าง ถ่ายน้ำหน้างานที่ต้องระบายได้เร็ว ๆ โดยภาพรวม ถ้าเป็นงานสูบ-ส่งทั่วไป ไม่ขึ้นที่สูงโหดมาก เครื่องยนต์ที่มักใช้ด้วยกันคือ
- 9–13 แรงม้า สำหรับงานมาตรฐาน
- ถ้าเป็นงานส่งขึ้นสูงมาก ระยะไกลมาก หรือต้องการปริมาณน้ำสุด ๆ บางคนก็ขยับไปใช้เครื่องแรงกว่านั้น ตามข้อจำกัดของปั๊มและการออกแบบระบบท่อ
ข้อที่เห็นบ่อยคือ หลายคนอยาก “ประหยัดงบ” เลยใช้เครื่อง 7 แรงไปหมุนปั๊ม 4 นิ้ว ผลคือ
- เครื่องต้องเร่งรอบสูงตลอดเวลา
- ทำงานไปสักพักเครื่องร้อนจัด รอบตก น้ำไหลไม่สม่ำเสมอ
- อายุการใช้งานเครื่องยนต์สั้นลงโดยไม่รู้ตัว
ซึ่งถ้ามองระยะยาวแล้ว การลงทุนเพิ่มขึ้นอีกหน่อยเพื่อให้เครื่อง “เหลือกำลัง” สัก 20–30% มักคุ้มทั้งในแง่เวลาและค่าซ่อมครับ
ใช้เครื่องเล็กไปจะเกิดอะไรขึ้น? ไม่ได้แค่ “น้ำไหลช้า” เท่านั้น
หลายคนคิดว่า “ใช้เครื่องเล็กไปหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก แค่ได้น้ำน้อยลงนิดหน่อย” แต่เอาเข้าจริงแล้วผลเสียมันมากกว่านั้นครับ
- เครื่องยนต์ทำงานเต็มกำลังตลอดเวลา เหมือนคุณบังคับให้รถกระบะ 1 ตัน บรรทุกของ 2 ตันแล้วขับขึ้นเขา เครื่องต้องทำงานเต็มที่ตลอด อุณหภูมิสูงขึ้น ชิ้นส่วนสึกหรอเร็วขึ้นมาก
- รอบตก น้ำไหลไม่สม่ำเสมอ พอปั๊มเจอโหลดหนัก ๆ เช่น เปิดวาล์วเต็ม ท่อยาวขึ้น มีโค้งเยอะ เครื่องที่แรงไม่พอจะมีอาการรอบตกทันที น้ำจากที่ควรจะพุ่งแรงกลับไหลเอื่อย ๆ หรือสั่น ๆ ไม่คงที่
- กินน้ำมันโดยไม่จำเป็น เครื่องที่ทำงานเต็มกำลังตลอด แม้จะตัวเล็กกว่า แต่บางสถานการณ์กลับกินน้ำมันมากกว่าเครื่องใหญ่ที่ทำงานในช่วงกำลังสบาย ๆ เสียอีก
- เสี่ยงต่อการโอเวอร์โหลดปั๊มและเครื่อง ถ้าระบบท่อถูกปิดหรือบีบให้ทำงานที่จุดที่ปั๊มต้องใช้กำลังสูงมาก เช่น เปิด-ปิดวาล์วผิดจังหวะ ใช้ท่อเล็กเกินไป เครื่องเล็กจะรับภาระหนักมาก เสี่ยงต่อการเสียหายทั้งปั๊มและเครื่องในระยะยาว
สรุปคือ เครื่องเล็กเกินไม่ใช่แค่ทำให้ “น้ำไม่แรง” แต่ทำให้ทั้งระบบทำงานอย่างไม่มีความสุขเลยครับ ทั้งเครื่อง ทั้งปั๊ม และเจ้าของที่ต้องทนนั่งเฝ้าอยู่ข้าง ๆ

แล้วจะรู้ได้ยังไงว่า ปั๊มเพลาลอย ต้องใช้แรงม้ากี่ตัว? ดูที่ไหนได้บ้าง
ถ้าคุณลองกลับไปมองที่ตัว ปั๊มเพลาลอย จะเห็นแผ่นป้ายโลหะเล็ก ๆ ติดอยู่ด้านข้าง นั่นแหละครับคือ “เนมเพลท” ที่บอกสเปกสำคัญเกือบทุกอย่างของปั๊ม สิ่งที่ควรดูมีประมาณนี้
- ขนาดปากดูด/ส่ง (Suction / Discharge) – 2" 3" 4" เป็นต้น
- อัตราการไหล (Q) – บางทีจะเขียนเป็น ลิตร/นาที หรือลูกบาศก์เมตร/ชั่วโมง
- เฮดรวม (Total Head หรือ H) – ความสูงที่ปั๊มสามารถส่งน้ำขึ้นไปได้ เช่น 25 ม., 32 ม.
- รอบหมุนที่เหมาะสม (RPM) – บางรุ่นจะระบุว่าใช้ที่ 2,800 หรือ 3,000 รอบต่อนาที
- กำลังที่ต้องการ (Required Power หรือ Shaft Power) – บางยี่ห้อจะเขียนไว้เลยว่าปั๊มต้องการแรงม้าขับประมาณเท่าไหร่ เช่น 4 kW หรือ 5.5 HP
ถ้าโชคดี ปั๊มเพลาลอย ที่คุณใช้ระบุ Required Power ชัดเจน ก็ถือว่าง่ายครับ เอาตัวเลขนั้นมาเทียบกับแรงม้าเครื่องยนต์ แล้วเผื่อขึ้นไปอีกสัก 20–30% ก็จะได้แรงม้าคร่าว ๆ ที่เหมาะสม
แต่ถ้าไม่มีตัวเลขนี้ สิ่งที่ทำได้คือดูคู่มือหรือข้อมูลจากผู้ขาย และอธิบายลักษณะงานให้ละเอียด ช่างที่มีประสบการณ์จะช่วยประมาณแรงม้าที่ควรใช้ให้ได้ค่อนข้างใกล้เคียง
สรุป : จะเลือกเครื่องให้ ปั๊มเพลาลอย ยังไงให้ไม่พลาดง่าย ๆ
มาถึงตรงนี้ ถ้าจะให้สรุปแบบสั้นที่สุดว่า “ปั๊มเพลาลอย ต้องใช้เครื่องยนต์เท่าไหร่ ถึงจะไหว?” เราอยากให้คุณนึกถึงเช็กลิสต์เหล่านี้ไว้ครับ
- รู้ก่อนว่า ปั๊มเพลาลอย ขนาดกี่นิ้ว และสเปกเฮด/อัตราการไหลประมาณเท่าไหร่
- คิดจากงานจริงของเรา ว่าใช้ส่งไกลแค่ไหน ขึ้นสูงเท่าไหร่ น้ำใสหรือขุ่น
- ใช้ตัวเลขคร่าว ๆ ว่า 2 นิ้วมักอยู่แถวเครื่อง 5.5–7 แรง, 3 นิ้วแถว 7–9 แรง, 4 นิ้วแถว 9–13 แรง แล้วปรับขึ้นลงตามลักษณะงาน
- เผื่อแรงม้าไว้ 20–30% เพื่อให้เครื่องไม่ทำงานเต็มกำลังตลอดเวลา
- ตั้งพูลเล่ย์และรอบให้ตรงกับที่ปั๊มต้องการจริง ไม่หมุนช้าหรือเร็วเกินไป
ถ้าคุณมอง ปั๊มเพลาลอย กับเครื่องยนต์เป็นคู่หูที่ต้องช่วยกันทำงาน ไม่ใช่เอาใครสักคนมาลากอีกคนให้วิ่งตามตลอดเวลา คุณจะเริ่มมองเห็นจุดสมดุลที่เหมาะกับงานของตัวเองมากขึ้นครับ
เลือก ปั๊มเพลาลอย ที่นี่
TH
English





