Customers Also Purchased
เวลาพูดถึง “พาวเวอร์ปลั๊กอุตสาหกรรม” หลายคนอาจนึกถึงปลั๊กหัวโต ๆ สีแดงหรือสีน้ำเงินที่เห็นตามโรงงานหรือไซต์งานก่อสร้าง ซึ่งดูต่างจากปลั๊กไฟบ้านที่เราคุ้นเคยอย่างสิ้นเชิง ทั้งขนาด รูปทรง และสีสันที่ชัดเจนราวกับตั้งใจให้สังเกตได้ง่าย แล้วเคยสงสัยไหมคะว่า ทำไมมันถึงต้องมีสีไม่เหมือนกัน?
คำตอบคือ “สี” ของ พาวเวอร์ปลั๊ก ไม่ได้มีไว้แค่ความสวยงาม แต่เป็น รหัสสากลที่บอกแรงดันไฟฟ้า (Voltage) และประเภทการใช้งานได้ในตัว ซึ่งหากเข้าใจเรื่องนี้ถูกต้อง จะช่วยให้เลือกใช้งานได้ปลอดภัย ตรงสเปก และยืดอายุอุปกรณ์ได้มากขึ้น วันนี้น้องช่างเลยอยากชวนมาทำความรู้จัก พาวเวอร์ปลั๊ก ให้ลึกขึ้น ทั้งเรื่องของสีรวมไปถึงชนิด ตัวผู้ ตัวเมีย และแบบกลางทาง ที่หลายคนอาจเคยเห็นแต่ยังไม่แน่ใจว่าแต่ละแบบต่างกันอย่างไร
พาวเวอร์ปลั๊ก คืออะไร ทำไมถึงต้องใช้ต่างจากปลั๊กบ้าน
พาวเวอร์ปลั๊ก (Industrial Plug & Socket) คืออุปกรณ์เชื่อมต่อไฟฟ้าที่ออกแบบมาสำหรับ งานอุตสาหกรรมหรือพื้นที่ที่ต้องรับกระแสไฟสูงกว่าปลั๊กบ้านทั่วไป เช่น เครื่องจักร เครื่อง焊 เครื่องอัดลม หรืออุปกรณ์ก่อสร้างขนาดใหญ่
ปลั๊กบ้านทั่วไปมักรับได้แค่ 10–16 แอมป์ แต่ พาวเวอร์ปลั๊ก อุตสาหกรรมจะเริ่มต้นที่ 16A ไปจนถึง 125A เลยทีเดียว อีกทั้งยังมีระบบล็อกแบบหมุน (Twist Lock) เพื่อป้องกันการหลวม หลุด หรือเกิดอาร์คจากการเสียบ–ถอดระหว่างมีโหลดไฟ
นอกจากนี้ พาวเวอร์ปลั๊ก ยังถูกออกแบบให้ ทนฝุ่น ทนน้ำ ทนแรงกระแทก และอุณหภูมิสูง โดยมีค่า IP Rating ชัดเจน เช่น IP44 สำหรับงานในร่ม หรือ IP67 สำหรับงานกลางแจ้งที่อาจโดนน้ำโดยตรง
มาตรฐาน IEC60309 ที่อยู่เบื้องหลัง พาวเวอร์ปลั๊ก ทุกสี
เบื้องหลังของ พาวเวอร์ปลั๊ก ทุกชิ้นอยู่ภายใต้มาตรฐานเดียวกันทั่วโลกคือ IEC60309 (และในไทยคือ มอก.166-2549) ซึ่งกำหนดตั้งแต่ขนาดเข็ม, การจัดเรียงขา, ไปจนถึง “สีของตัวปลั๊ก” ให้บ่งบอกแรงดันไฟฟ้าได้อย่างสากล เช่น
- สีน้ำเงิน (Blue): 200–250V (ไฟ 1 เฟส)
- สีแดง (Red): 380–480V (ไฟ 3 เฟส)
- สีเหลือง (Yellow): 100–130V (มักใช้ในระบบเฉพาะทาง)
- สีเขียว (Green): สำหรับระบบแรงดันพิเศษ เช่น ไฟ DC หรือเฉพาะอุตสาหกรรม
สีจึงเป็นเหมือน “ภาษาไฟฟ้า” ที่ช่วยให้ช่างทั่วโลกเข้าใจตรงกันทันทีโดยไม่ต้องเปิดคู่มือค่ะ
สีของ พาวเวอร์ปลั๊ก ไม่ได้มีไว้สวย — มันบอกแรงดันไฟฟ้า!
หลายคนอาจคิดว่า พาวเวอร์ปลั๊ก สีต่าง ๆ แค่ผลิตมาให้เลือกใช้งานตามความชอบ แต่จริง ๆ แล้วมันคือระบบ “Color Code” ที่สำคัญมาก เพราะถ้าเลือกผิด เช่น เอาปลั๊กสีน้ำเงิน (230V) ไปต่อกับระบบไฟสีแดง (400V) ผลคืออุปกรณ์อาจไหม้ทันทีภายในไม่กี่วินาที
พาวเวอร์ปลั๊ก สีน้ำเงิน: ระบบไฟ 230V (1 เฟส)
ปลั๊กสีน้ำเงินคือ “ปลั๊กเอนกประสงค์ของวงการช่าง” ใช้กับไฟ 1 เฟส 230V เหมือนระบบไฟบ้านทั่วไป เหมาะกับงานเบา–กลาง เช่น เครื่องมือไฟฟ้าพกพา, เครื่องมือช่างทั่วไป, ไฟส่องสว่าง, เครื่องเชื่อมขนาดเล็ก
- จำนวนขา: 2P+E (มีสายไฟ 2 เส้น + สายกราวด์)
- แรงดันไฟ: 200–250V
- ขนาดกระแส: มีตั้งแต่ 16A, 32A, 63A
- ตำแหน่งเข็มดิน (Earth): อยู่ที่ตำแหน่ง 6h (หรือประมาณ 6 นาฬิกา)
จุดเด่นคือสามารถใช้งานได้แทบทุกที่ที่มีระบบไฟบ้านทั่วไป แต่ทนทานกว่าปลั๊กบ้านหลายเท่า
พาวเวอร์ปลั๊ก สีแดง: ระบบไฟ 400V (3 เฟส)
สีแดงคือสัญลักษณ์ของ “ไฟแรง” หรือระบบ 3 เฟส 400V ซึ่งใช้กับเครื่องจักรขนาดใหญ่ เช่น ปั๊มอุตสาหกรรม, เครื่อง CNC, เครื่องปรับอากาศเชิงพาณิชย์, หรือมอเตอร์ที่กินกระแสสูง
- จำนวนขา: 3P+N+E (รวมทั้งหมด 5 ขา)
- แรงดันไฟ: 380–480V
- ตำแหน่งเข็มดิน: อยู่ที่ 6h เช่นกัน
- ข้อดี: ให้กำลังสูงกว่า เสถียรกว่า และประหยัดพลังงานกว่าไฟ 1 เฟสในงานหนัก
น้องช่างแนะนำ เวลาเลือก พาวเวอร์ปลั๊ก อย่าดูแค่ “สี” อย่างเดียว ให้ดูด้วยว่า “จำนวนขา” ตรงกับระบบไฟของอุปกรณ์หรือไม่ เช่น เครื่องจักร 3 เฟส ต้องใช้แบบ 5 ขาเท่านั้น เพราะถ้าเสียบปลั๊กผิดประเภท แม้จะเป็นสีเดียวกันก็อาจไม่ทำงานหรือลัดวงจรได้ค่ะ
ตัวผู้ ตัวเมีย และแบบกลางทาง — เข้าใจระบบการต่อให้ถูกงาน
นอกจากเรื่อง “สี” แล้ว พาวเวอร์ปลั๊ก ยังแบ่งตาม หน้าที่ของการเชื่อมต่อไฟฟ้า อีกด้วย ซึ่งถ้าเข้าใจโครงสร้างนี้ จะช่วยให้ติดตั้งได้ถูกต้องและปลอดภัย
ตัวผู้ (Plug): จุดเริ่มต้นของไฟ
“ตัวผู้” คือปลั๊กที่มี ขาโลหะ (Pin) ยื่นออกมา ใช้สำหรับเสียบเข้ากับตัวเมียเพื่อส่งกระแสไฟ มักต่อเข้ากับ สายไฟจากแหล่งจ่าย หรือปลายสายของเครื่องมือไฟฟ้า เช่น ปลั๊กที่ต่อจากเครื่องเชื่อม หรือเครื่องจักร
- ลักษณะ: มีขา Pin โลหะ 2–5 ขา
- หน้าที่: ส่งไฟออกจากแหล่งจ่าย
- ข้อควรระวัง: ห้ามต่อสายตรงโดยไม่ล็อก เพราะแรงดันสูง
ตัวเมีย (Socket): จุดรับพลังที่ปลอดภัย
“ตัวเมีย” คือฝั่งที่มีรูรับขา (Receptacle) สำหรับเสียบปลั๊กตัวผู้ ใช้ติดตั้งอยู่ที่ผนัง แผงควบคุม หรือตู้คอนโทรลต่าง ๆ มีทั้งแบบติดผนัง (Wall Mounting Socket) และแบบพกพา (Cable Mounting Socket)
- หน้าที่: รับไฟจากตัวผู้ไปยังระบบหรือเครื่องมือ
- มีฝาครอบกันฝุ่น–น้ำ, ล็อกแบบบิดหมุนแน่นหนา
- ออกแบบให้แน่นสนิทเพื่อป้องกันอาร์คและไฟรั่ว

แบบกลางทาง (Connector): ตัวเชื่อมต่อกลางระบบที่หลายคนมองข้าม
หลายคนอาจไม่รู้ว่าในระบบ พาวเวอร์ปลั๊ก ยังมี “แบบกลางทาง” ด้วย ซึ่งใช้เชื่อมต่อระหว่างสายต่อ–สายต่อ เช่น ต่อสายไฟพ่วงยาว ๆ สำหรับเครื่องจักรที่ต้องขยับตำแหน่ง หรือพื้นที่ที่ไม่มีจุดเสียบถาวร
- หน้าที่: รับไฟจากปลั๊กตัวผู้ด้านหนึ่ง แล้วส่งต่อไปยังสายอีกฝั่ง
- เหมาะกับงานที่ต้องต่อสายชั่วคราวหรือต้องย้ายตำแหน่งบ่อย
- มีโครงสร้างกันน้ำเหมือนตัวเมียและตัวผู้
น้องช่างเตือน: อย่าสลับ “ตัวผู้” กับ “ตัวเมีย” หรือใช้แบบคนละสีคนละแรงดันต่อเข้าด้วยกันโดยไม่ได้ตรวจสอบ เพราะถึงจะเสียบได้พอดี แต่อาจไม่ตรงระบบไฟ เช่น จาก 230V ไป 400V ผลคือไหม้แน่นอนค่ะ
การเลือก พาวเวอร์ปลั๊ก ให้ถูกประเภทงาน
การเลือก พาวเวอร์ปลั๊ก ไม่ใช่แค่หยิบตามสีที่เห็นสวย หรือใช้ได้พอดีกับรู แต่ต้องพิจารณาหลายปัจจัย ทั้งแรงดัน กระแส ความทนทาน และสิ่งแวดล้อมที่ติดตั้ง
ดูจากแรงดัน (V) และกระแส (A)
- แรงดัน (Voltage): ดูจากสีปลั๊ก (น้ำเงิน = 230V, แดง = 400V)
- กระแส (Amp): ต้องไม่ต่ำกว่าค่าที่อุปกรณ์ต้องการ เช่น เครื่อง 20A ใช้ปลั๊ก 32A จะปลอดภัยกว่า
- จำนวนขา: ต้องตรงกับระบบไฟ (1 เฟส = 3 ขา, 3 เฟส = 5 ขา)
IP Rating และสภาพแวดล้อม
- IP44: ป้องกันของแข็ง >1 มม. และน้ำกระเด็น เหมาะกับในร่ม
- IP67: ป้องกันฝุ่นและน้ำจมชั่วคราว เหมาะกับกลางแจ้ง
- วัสดุ: ควรเป็นพลาสติกวิศวกรรมหรือยางทนความร้อน (PA6, PC)
ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยในการใช้งานจริง
- “สีเดียวกันใช้แทนกันได้หมด” — ผิดค่ะ สีเดียวกันแต่ต่างแอมป์ หรือจำนวนขาไม่เท่ากัน ก็เสียบไม่ลงและอันตราย
- “ปลั๊กโรงงานใช้ในบ้านได้ไหม?” — ได้ในบางกรณี แต่ต้องมั่นใจว่าแรงดันตรงกับระบบไฟบ้าน และมีอุปกรณ์ป้องกันครบ
- “ไม่ต้องล็อกหมุนก็ได้” — ห้ามเด็ดขาด เพราะระบบล็อกคือหัวใจของความปลอดภัย
น้องช่างแนะนำ: ก่อนซื้อพาวเวอร์ปลั๊ก ลองเช็กที่ สัญลักษณ์บอกสเปกบนตัวปลั๊ก จะมีระบุทั้งแรงดัน, กระแส, จำนวนขา, และค่า IP ไว้ครบทุกจุด ถ้าไม่แน่ใจให้ดูจากตำแหน่ง “6h” ที่บอกตำแหน่งขากราวด์ เพราะนั่นคือตัวบอกระบบไฟที่แท้จริงค่ะ
สีแดง–น้ำเงิน ต่างกันแค่แรงดัน แต่สำคัญต่อความปลอดภัย
จะเห็นได้ว่า พาวเวอร์ปลั๊ก ไม่ใช่แค่ “ปลั๊กหัวโต” ที่ดูอึดเท่านั้น แต่ทุกสี ทุกขา ทุกตำแหน่ง มีความหมายและเหตุผลทางเทคนิคอยู่เบื้องหลัง
- สีน้ำเงิน (230V, 1 เฟส): สำหรับเครื่องมือทั่วไป ไฟบ้าน
- สีแดง (400V, 3 เฟส): สำหรับเครื่องจักรขนาดใหญ่
- ตัวผู้ – ตัวเมีย – แบบกลางทาง: แต่ละแบบมีหน้าที่เฉพาะ อย่าใช้สลับกัน
- ระบบล็อกหมุน + IP สูง: คือหัวใจของความปลอดภัยในงานอุตสาหกรรม
และสุดท้าย น้องช่างอยากฝากไว้ว่าการเลือก พาวเวอร์ปลั๊ก ให้เหมาะกับงาน ไม่ได้แค่ช่วยให้เครื่องทำงานเต็มประสิทธิภาพ แต่ยังเป็น “การดูแลความปลอดภัย” ของทุกคนที่ทำงานอยู่ใกล้ ๆ ด้วยค่ะ
TH
English














