เซอร์กิตเบรกเกอร์ หรือที่คนทั่วไปเรียกสั้น ๆ ว่า เบรกเกอร์ คืออุปกรณ์ที่มีหน้าที่สำคัญในระบบไฟฟ้าทุกบ้าน — มันไม่ได้มีไว้แค่เปิด–ปิดไฟ แต่คือกลไกป้องกันความเสียหายเมื่อเกิดไฟฟ้าลัดวงจรหรือกระแสเกิน โดยจะตัดวงจรอัตโนมัติทันที เพื่อไม่ให้สายไฟร้อนจนไหม้หรืออุปกรณ์พังเสียหาย
แต่สิ่งที่หลายคนยังไม่ค่อยแน่ใจคือ “แล้วควรเลือกเบรกเกอร์ขนาดกี่แอมป์ถึงจะเหมาะ?” เพราะในร้านมีให้เลือกตั้งแต่ ขนาดเล็กอย่าง 6A, 10A, 16A, 20A ไปจนถึง 63A สำหรับงานในบ้านทั่วไป และยังมี รุ่นใหญ่กว่าอย่าง 100A, 150A หรือ 250A ที่ใช้ในระบบไฟอาคารและโรงงานด้วย พอเห็นตัวเลขเยอะขนาดนี้ หลายคนจึงสับสนว่าจริง ๆ แล้วควรเลือกแบบไหนถึงจะพอดีกับการใช้งานของตัวเอง
การเลือกขนาดเบรกเกอร์ให้ถูกต้อง ไม่ใช่การเดาเอา หรือเลือกจากความรู้สึกว่า “เอาแรง ๆ ไว้ก่อน” แต่ต้องอิงกับโหลดไฟฟ้าที่ใช้งานจริง รวมถึงขนาดสายไฟและลักษณะของอุปกรณ์ในวงจรเดียวกัน บทความนี้น้องช่างจะพาไล่ดูแบบละเอียด ว่าขนาดแอมป์ของเบรกเกอร์ที่เหมาะกับบ้านหรือร้านของเรา ควรดูจากอะไร คำนวณยังไง และควรเผื่อไว้เท่าไหร่ถึงจะปลอดภัยที่สุด

เข้าใจก่อนว่า “เบรกเกอร์” ทำหน้าที่อะไร
เซอร์กิตเบรกเกอร์ (Circuit Breaker) เป็นหัวใจของระบบไฟฟ้าในบ้าน มันคือ “ผู้คุมประตูพลังงาน” ที่คอยเฝ้าดูว่ากระแสไฟที่ไหลอยู่ในสายมากเกินไปหรือไม่ ถ้ามากเกิน เบรกเกอร์จะตัดวงจรอัตโนมัติ เพื่อไม่ให้สายไฟร้อนจนละลายหรือเกิดไฟไหม้
ในเชิงเทคนิค เบรกเกอร์ทุกตัวจะมี ค่าพิกัดกระแส (Rated Current, In) ซึ่งบอกว่ามันสามารถให้กระแสไฟผ่านได้มากที่สุดเท่าไรโดยไม่ตัด เช่น เบรกเกอร์ 16A หมายถึง สามารถรับกระแสไฟได้ 16 แอมป์ต่อเนื่อง ถ้าเกินกว่านี้ เบรกเกอร์จะเริ่มร้อน และถ้าเกินต่อเนื่อง จะตัดโดยอัตโนมัติ
นอกจากนี้ยังมีระบบตรวจจับไฟฟ้าลัดวงจร (Short Circuit) ที่ทำงานด้วยแม่เหล็กไฟฟ้า ตัดได้ภายในเสี้ยววินาที ช่วยลดความเสียหายจากไฟลุกไหม้และการช็อตระหว่างสายได้ทันที
วิธีคำนวณขนาด เซอร์กิตเบรกเกอร์ ที่เหมาะสม
การเลือกเบรกเกอร์ไม่ได้อิงแค่ “แรงดัน” หรือ “ขนาดเครื่องใช้” อย่างเดียว แต่ต้องอิงกับ ปริมาณกระแสที่ใช้งานจริง (Ampere) ซึ่งคำนวณได้จากสูตรพื้นฐาน
หมายเหตุ: อุปกรณ์มอเตอร์/ฮีตเตอร์มี “กระชาก” ตอนเริ่ม ทำให้ควรเผื่อประมาณ 20–25% เพื่อไม่ให้ตัดพร่ำเพรื่อ
เผื่อโหลดกระชากและค่า Safety Factor
โหลดกระชากเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเสมอแต่ไม่ค่อยมีใครคำนวณถึง เช่น มอเตอร์ในตู้เย็นอาจกินกระแสถึง 3 เท่าในขณะเริ่มทำงาน หรือเครื่องทำน้ำอุ่นบางรุ่นจะมีการดึงกระแสสูงช่วงเริ่มจ่ายน้ำร้อน ถ้าไม่เผื่อไว้ เบรกเกอร์จะตัดทั้งที่ไม่ได้มีปัญหาจริง ดังนั้น ควรเผื่อค่าความปลอดภัย (Safety Factor) ประมาณ 20–25% เสมอ
อีกประเด็นหนึ่งคือ อุณหภูมิแวดล้อม — เบรกเกอร์ทำงานไวขึ้นในอุณหภูมิสูง เช่น ติดตั้งในตู้ไฟที่ร้อนจัด อาจตัดก่อนถึงกระแสที่ระบุไว้ เพราะความร้อนสะสมเร่งให้กลไกภายในทำงานไวขึ้น การติดตั้งในที่อากาศถ่ายเทจึงสำคัญมาก
ขนาดสายไฟต้องสัมพันธ์กับ เซอร์กิตเบรกเกอร์
เบรกเกอร์ (A) | สายไฟ (sq.mm) | งานที่พบบ่อย |
---|---|---|
10A | 1.5 | ไฟแสงสว่าง |
16A | 2.5 | ปลั๊กทั่วไป |
20–25A | 4 | ปั๊มน้ำ / เครื่องทำน้ำอุ่น |
32A | 6 | เครื่องทำน้ำร้อน / แอร์ใหญ่ |
40 ขึ้นไป | 10 ขึ้นไป | โหลดหนัก เครื่องจักร |
ทำไมเบรกเกอร์ตัดบ่อย ทั้งที่โหลดไม่เยอะ?
หนึ่งในคำถามที่น้องช่างเจอบ่อยมากคือ “เบรกเกอร์ตัดทั้งที่ไม่ได้เปิดเครื่องเยอะ” ซึ่งจริง ๆ แล้วสาเหตุมันเยอะมากกว่าที่คิดค่ะ
- เบรกเกอร์เสื่อมสภาพ เบรกเกอร์มีอายุการใช้งานจำกัด ประมาณ 10 ปีขึ้นไปกลไกภายในจะอ่อนแรง หรือหน้าสัมผัสเริ่มหลวม ทำให้ไวเกิน
- การต่อสายหลวม จุดต่อสายที่หลวมจะเกิดความร้อนสะสม พอร้อนมาก เบรกเกอร์จะตัดเพราะคิดว่ากระแสเกิน
- โหลดกระชากจากมอเตอร์ ตู้เย็น ปั๊มน้ำ หรือเครื่องซักผ้ามีกระแสเริ่มต้นสูง ถ้าใช้ Curve B จะตัดบ่อย
- ใช้เบรกเกอร์ขนาดเล็กเกินไป เช่น โหลดจริง 15A แต่ใช้เบรกเกอร์ 10A ก็ต้องตัดแน่ ๆ
ค่า Breaking Capacity (พิกัดการตัดกระแสลัดวงจร)
หลายคนไม่รู้ว่าบนตัวเบรกเกอร์นอกจากจะเขียน 16A, 20A แล้ว ยังมีตัวเลขอย่าง “4.5kA”, “6kA” หรือ “10kA” อยู่ด้วย ตัวเลขนี้สำคัญมาก เพราะมันบอกว่าเบรกเกอร์สามารถ “ตัดกระแสลัดวงจรได้สูงสุดเท่าไรโดยไม่พัง”
- 4.5kA = 4,500 แอมป์
- 6kA = 6,000 แอมป์
- 10kA = 10,000 แอมป์
ถ้าติดตั้งเบรกเกอร์ในจุดที่กระแสลัดวงจรสูง (เช่น ใกล้มิเตอร์หลัก) แต่ใช้เบรกเกอร์ 4.5kA เบรกเกอร์อาจเสียหายหรือระเบิดได้ เพราะมันรับแรงแม่เหล็กย้อนกลับไม่ไหว
บ้านทั่วไปใช้ 4.5–6kA ก็เพียงพอ แต่ในโรงงานหรืออาคารขนาดใหญ่ควรใช้ 10kA ขึ้นไป เพื่อความปลอดภัย
อายุการใช้งานของเบรกเกอร์
แม้เบรกเกอร์จะดูเหมือนอุปกรณ์นิ่ง ๆ แต่ภายในมันมี “กลไกสปริง + หน้าสัมผัสโลหะ” ที่ต้องรับแรงดันไฟทุกครั้งที่เปิด–ปิด เมื่อใช้ไปนาน ๆ มันจะสึกหรอจนตัดช้าหรือไม่ตัดเลย
โดยทั่วไปอายุการใช้งานของเบรกเกอร์อยู่ที่ประมาณ 10–15 ปี หรือ 10,000 ครั้งของการเปิด–ปิด / การตัดต่อวงจร
สัญญาณว่าเบรกเกอร์เริ่มเสื่อม
- กดขึ้นแล้วเด้งกลับเอง
- ตัวร้อนโดยไม่มีโหลด
- ตัดเองโดยไม่มีเหตุ
- มีคราบไหม้หรือกลิ่นไหม้
การจัดระบบ เบรกเกอร์ ใน ตู้คอนซูมเมอร์
เบรกเกอร์ไม่ได้อยู่ตัวเดียว แต่ทำงานเป็น “ระบบลำดับชั้น” เพื่อป้องกันทั้งบ้าน
- เบรกเกอร์หลัก (Main Breaker): รับไฟจากมิเตอร์ เป็นด่านแรกของการป้องกัน ควรเลือกขนาดเท่ากับโหลดรวมของทั้งบ้าน เช่น 40A–63A
- เบรกเกอร์ย่อย (Sub Breaker): แยกตามวงจร เช่น แสงสว่าง, ปลั๊ก, เครื่องทำน้ำอุ่น, ปั๊มน้ำ แต่ละวงจรไม่ควรเกิน 80% ของพิกัดเบรกเกอร์ เพื่อให้มีเผื่อโหลด
- การแยกวงจรที่จำเป็น: ห้องน้ำ / ครัว / ปั๊มน้ำ ควรแยกวงจรเฉพาะ เพราะมีกระแสสูงและเสี่ยงไฟรั่ว
- การติดตั้ง RCBO: ควรมีในห้องน้ำและห้องครัว เพราะสามารถป้องกันไฟรั่วได้ด้วยตัวเอง
เรียงเบรกเกอร์ในตู้ให้ชัดเจน พร้อมติดป้ายชื่อวงจร เช่น PUMP – ปั๊มน้ำ/ SHOWER – เครื่องทำน้ำอุ่น เวลาไฟดับจะได้รู้เลยว่าตัวไหนเป็นต้นเหตุ ไม่ต้องไล่เปิดทีละตัว
เช็กลิสต์เลือกเบรกเกอร์ “พอดี–ปลอดภัย–ไม่ตัดพร่ำเพรื่อ”
1. รวมโหลดไฟทั้งหมดในวงจร
2. คำนวณกระแส I = P ÷ 220
3. เผื่อโหลดกระชาก 25%
4. เลือกขนาดเบรกเกอร์สูงกว่าเล็กน้อย
5. ตรวจสอบขนาดสายไฟให้สัมพันธ์
6. ดูค่า Breaking Capacity ให้เหมาะกับจุดติดตั้ง
7. แยกวงจรในตู้คอนซูมเมอร์ให้ชัดเจน
สุดท้ายคือ — อย่าคิดว่า “เบรกเกอร์ใหญ่สุดคือดีที่สุด” เพราะระบบไฟฟ้าที่ปลอดภัยไม่ใช่ระบบที่ไม่เคยตัดเลย แต่คือระบบที่ ตัดเฉพาะเวลาที่ควรจะตัด ต่างหาก