เลือก สว่านไร้สาย ดูที่แบตเตอรี่ ได้ไหม? 12V 18V 20V ต่างกันยังไง?

Customers Also Purchased

ผมคิดว่า หลาย ๆ คนต้องเคยเจอครับ ไม่ว่าจะเข้ามาที่ร้าน หรือดูผ่านระบบออนไลน์ เวลาจะซื้อ สว่านไร้สาย แล้วเจอตัวเลขอย่าง 12V 18V 20V ที่ระบุไว้กับชื่อรุ่น หรือตัวแบตเตอรี่ที่ให้มา ไม่แปลกเลยครับที่จะงงว่า “มันต่างกันยังไง?” เพราะถ้าเราเจาะจงไปที่ สว่านไร้สาย ทุกยี่ห้อ ทุกประเภท ทุกรุ่น ล้วนมีตัวเลขนี้ระบุไว้ บางคนก็ชอบเชียร์ บอกว่า “เอาแรง ๆ ไปเลย 20V ดีกว่าแน่นอน!” แล้วก็มีคนเถียงว่า “12V ก็พอแล้ว งานบ้านไม่ได้หนักขนาดนั้น แถมเครื่องเล็ก สะดวกกว่าเยอะ” ผมเห็นข้อโต้เถียงในกระทู้มานับไม่ถ้วนแล้ว

ทุกวันนี้สว่านไร้สายผลิตออกมาหลายแบบมากจนถ้าไม่ดูดี ๆ ก็แทบไม่รู้ ว่าต่างกันตรงไหน รุ่นที่เล็กนิดเดียว แต่หมุนแรงจนน่าทึ่งก็มีให้เห็นอยู่หลายแบรนด์ บางรุ่นใหญ่โตแต่กลับรู้สึกเหมือนแรงไม่ต่างเท่าไร พอมาดูสเปกแล้ว ตกลงตัวเลข 12V 18V หรือ 20V นั้น มันบอกอะไรเรากันแน่?

ผมเคยคิดครับ ว่า “แรงดันเยอะกว่า ก็ต้องแรงกว่าไม่ใช่เหรอ?” แต่ผู้เชี่ยวชาญก็จะบอกว่า นอกจากแรงดันแล้ว ยังมีมอเตอร์ แบตเตอรี่ และระบบควบคุมพลังงานที่ซ่อนอยู่ รวมไปถึง รายละเอียดเล็ก ๆ ที่ต่างก็ส่งผลต่อพลังการหมุน ความเร็ว และความทนทานของตัวเครื่อง ในแบบที่เราไม่ค่อยได้คิดถึงนัก

แล้ว เราจะรู้ได้ยังไงล่ะครับ ว่าควรเลือก สว่านไร้สาย แบบไหนถึงจะ “พอดี” กับการใช้งานจริง? ในบทความนี้ ผมเลยอยากชวนทุกคน มาทำความเข้าใจกันแบบเข้าใจง่าย ๆ ครับ ว่าตัวเลขแรงดัน (V) ของ สว่านไร้สาย ที่เห็นบนกล่อง บนรหัสรุ่น หรือบนแบตเตอรี่ที่ใช้ นั้น มันไม่ได้เป็นตัวกำหนดว่า แค่แรงกว่า หรือ แพงกว่า แต่ยังบอกอะไรหลาย ๆ อย่างใน สว่านไร้สาย แต่ละตัวได้เลย มาดูกันครับว่า มันต่างกันยังไง และเราในฐานะผู้ใช้ ควรเลือกแบบไหนกันแน่

แรงดันแบตเตอรี่ ของ สว่านไร้สาย คืออะไร?

หลาย ๆ คนน่าจะเคยสงสัยครับ ว่า ตัวเลขแรงดันที่เห็นบนกล่องสว่านไร้สายนั้น มันหมายถึงอะไรกันแน่ บางคนอาจคิดว่าแค่ตัวเลขบอกความแรง หรือแค่การตลาด แต่จริง ๆ แล้วมันซ่อนเรื่องราวของพลังงาน การออกแบบ และสมดุลของเครื่องมือช่างไว้มากมาย ยิ่งเข้าใจแรงดัน ก็ยิ่งรู้ว่าทำไมสว่านไร้สายแต่ละรุ่น ถึงให้ฟีลลิ่งต่างกันขนาดนั้น

ตัวเลขที่บอกทั้งพลัง และ ตัวตน ของ สว่านไร้สาย

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนครับว่า ตัวเลข 12V / 18V / 20V ที่เห็นบนสว่านไร้สายนั้น คือ “แรงดันไฟฟ้า” (Voltage) ของแบตเตอรี่ มีผลโดยตรงกับพลังในการหมุนของมอเตอร์ และยังเป็นตัวชี้วัดเบื้องต้นของสมรรถนะโดยรวมของเครื่องมือไฟฟ้าไร้สาย ทุกชนิด ในระบบแบตเตอรี่ นั่นเอง เลือก แบตเตอรี่ Makita อย่างไรไม่ให้พลาด? เจาะลึก 12V 18V 40V

แรงดันไฟฟ้านี้ ยังเกี่ยวข้องกับหลายปัจจัย เช่น การตอบสนองของเครื่องขณะเริ่มหมุน ความเสถียรระหว่างการทำงาน และประสิทธิภาพในการรักษากำลังเมื่อใช้งานต่อเนื่องเป็นเวลานาน ยิ่งแรงดันสูง ระบบภายในก็ต้องรองรับพลังงานมากขึ้น ทั้งในชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ มอเตอร์ และการจัดการความร้อนของแบตเตอรี่

ดังนั้นตัวเลขบนกล่องไม่ได้มีไว้โชว์เฉย ๆ ครับ แต่สะท้อนถึงการออกแบบ และความสมดุลระหว่าง “พลัง” กับ “ประสิทธิภาพ” ของสว่านไร้สายรุ่นนั้น ๆ ว่าถูกสร้างมาเพื่อเน้นความแรง ความทน หรือความคล่องมือมากกว่ากัน รวมไปถึงประสิทธิภาพในด้านอื่น ๆ อย่าง ความเร็วรอบ และ แรงบิดสำคัญอย่างไรกับการเลือก และการใช้งาน สว่านไร้สาย ?

พูดง่าย ๆ เลยคือ

  • แรงดันสูง = มอเตอร์หมุนแรงกว่า
  • แรงดันต่ำ = มอเตอร์อาจจะเบา แต่ก็คุมง่าย ประหยัด และคล่องตัว

เลือก สว่านไร้สาย ดูที่แบตเตอรี่ ได้ไหม 12V 18V 20V ต่างกันยังไง

สว่านไร้สาย 12V: เล็ก เบา เหมาะกับงานคล่องมือ

ถ้าคุณเป็นสาย DIY หรืองานบ้านทั่วไป ผมบอกเลยครับว่า สว่านไร้สาย 12V นี่แหละที่จะตอบโจทย์ได้อย่างดี โดยมีลักษณะเด่น ๆ เช่น:

  • น้ำหนักเบา ใช้งานนานไม่เมื่อย
  • เจาะไม้ พลาสติก หรือเหล็กบาง ๆ ได้สบาย
  • ขนาดกะทัดรัด เหมาะกับพื้นที่แคบ เช่น ใต้ตู้ ในมุมเฟอร์นิเจอร์
  • ราคาย่อมเยา แถมยังมีหลายรุ่นให้เลือก

แต่ข้อจำกัดของมันก็คือ “แรงบิด” ครับ ถ้างานต้องเจาะเหล็กหนา หรือต้องขันสกรูที่แน่นมาก ๆ หรือขันเข้าเนื้อไม้ลึก ๆ จะรู้สึกว่าเครื่องเริ่มช้า หรือเครื่องสะดุด ซึ่งไม่ใช่เพราะเครื่องไม่ดีนะครับ แต่เพราะมันออกแบบมาให้เน้นงานเบามากกว่างานที่ต้อง เจาะ ขัน หรือคลาย หนัก ๆ

สว่านไร้สาย Makita 12V รุ่นยอดนิยม แรง คุ้ม น่าใช้ จริงไหม? ถ้าตอบแบบไม่อวย สว่านไร้สาย แค่ 12V ของ Makita รุ่น HP333D นั้น ก็สามารถเจาะเฟอร์นิเจอร์ไม้ หรือขันสกรูบานพับตู้แบบทั้งวัน ยังเอาอยู่ แถมถือทำงานนาน ๆ ยังรู้สึกสบายข้อมือด้วย 

สว่านไร้สาย 18V: จุดสมดุลที่สุด ใช้ได้ทั้งบ้าน และงานช่าง

มาถึงรุ่นยอดฮิตของช่างมืออาชีพครับ สว่านไร้สาย 18V ถือว่าเป็น “ขนาดกลางที่พอดีที่สุด” สำหรับงานทั่วไปจนถึงงานกึ่งอุตสาหกรรม

จุดเด่นสว่านไร้สายพวกนี้ คือมันให้แรงบิดที่สูงกว่ารุ่น 12V อย่างชัดเจน และตัวเครื่องก็ยังไม่หนักจนเกินไป เหมาะกับคนที่ต้องเจาะเหล็ก เจาะปูน (ถ้ามีระบบกระแทก) หรือ ขันน็อตในงานติดตั้งทั่วไป เช่น แอร์ เฟอร์นิเจอร์ หรือโครงเหล็กเบา

ผมชอบเรียก 18V ว่า “สว่านไร้สาย เริ่มต้น” ของมืออาชีพ เพราะมันใช้งานได้ครอบคลุมเกือบทุกประเภทงาน และ หลาย ๆ รุ่น จากแบรนด์ อย่าง Bosch ยังมีระบบอัจฉริยะหลายอย่าง เช่น Brake Stop Torque Control หรือ แม้แต่จอแสดงผลแบตเตอรี่ ที่ช่วยให้เราวางแผนงานได้ดียิ่งขึ้น

ถ้างานคุณไม่ได้อยู่ในบ้านอย่างเดียว แต่ต้องออกไซต์บ้าง เช่นงาน ติดตั้งโครงเหล็ก เจาะปูนด้วยโหมดกระแทก หรือ ทำงานนอกสถาน สว่านไร้สาย 18V นั้น คือคำตอบที่พอดี เลยครับ

สว่านไร้สาย 20V: แรงกว่า 18V จริงไหม?

หลายคนอาจสงสัยว่า แล้ว 20V กับ 18V ต่างกันยังไง? คำตอบคือ แทบไม่ต่างกันเลยเพราะ แรงดันไฟฟ้าในการใช้งาน จะอยู่ในช่วงเดียวกัน

สว่านไร้สาย 20V เราจะเห็นใน แบรนด์อเมริกัน เช่น DeWalt หรือแบรนด์อื่น ๆ ที่ใช้การวัดแรงดันเป็นแบบ “สูงสุด” (Max Voltage) แบบไม่มีโหลด ขณะที่แบรนด์ยุโรป และญี่ปุ่น รวมถึง Milwaukee จะวัดแบบ “แรงดันในใช้งานจริง” (Nominal Voltage)

พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ 18V (Nominal) กับ 20V (Max) แรงจริง ๆ นั้น ใกล้เคียงกันมากครับ ต่างกันแค่ระบบการวัด

เลือก สว่านไร้สาย ดูที่แบตเตอรี่ ได้ไหม 12V 18V 20V ต่างกันยังไง

แรงดันสูงกว่า 18V / 20 V ก็มี แต่ทำไมไม่ค่อยเห็น?

ในตลาดก็มี สว่านไร้สาย แรงดันสูงกว่า 20V อยู่ครับ เช่น 36V หรือ 40V Max โดยเฉพาะจากแบรนด์ระดับโปรอย่าง Makita (ระบบ XGT 40V) หรือ DeWalt 60V Max ที่ใช้กับงานอุตสาหกรรมหนัก ๆ เช่น งานคอนกรีต หรือโครงสร้างเหล็กหนา

แต่เหตุผลที่เราไม่ค่อยเห็นสว่านไร้สายพวกนี้บ่อย ๆ ก็เป็นเพราะเครื่องพวกนี้ “เกินความจำเป็น” สำหรับงานทั่วไปครับ น้ำหนักเยอะกว่าเดิมมาก แบตก้อนใหญ่กว่า และราคาก็สูงขึ้นตามสเปก ทำให้เหมาะกับช่างระดับโปร หรือไซต์ก่อสร้างใหญ่เท่านั้น

พูดง่าย ๆ คือ ถ้าเปรียบกับรถยนต์ มันก็เหมือนรถกระบะ 4WD เครื่องใหญ่ ที่แรงมาก แต่ไม่ได้เหมาะกับการขับในเมืองทุกวัน นั่นแหละครับ

จะเลือก สว่านไร้สาย ดูแค่ ”แรงดันแบตเตอรี่” พอไหม?

ไม่พอครับ! แรงดัน ไม่ใช่ทุกอย่าง ต้องดูปัจจัยอื่น ๆ อย่าง “ตัวแบต” และ “ระบบชาร์จ” ด้วย เพราะแรงดันไฟฟ้านั้น เป็นแค่ส่วนหนึ่งของพลังทั้งหมดครับ อีกจุดที่สำคัญไม่แพ้กันคือ “ความจุแบตเตอรี่” (หน่วยเป็น Ah หรือ แอมป์-ชั่วโมง) ซึ่งบอกได้เลยว่าเครื่องของคุณจะทำงานได้นานแค่ไหน เช่น แบต 18V 2.0Ah กับ 5.0Ah จะให้แรงดันเท่ากัน แต่ 5.0Ah จะทำงานได้นานกว่าเกือบสองเท่า

ดังนั้นเวลาเลือกซื้อ สว่านไร้สาย ให้มองภาพรวมทั้งหมด เพื่อให้ได้เครื่องที่ตอบโจทย์การใช้งานจริง ไม่ใช่แค่เลือกแรง ๆ ไว้ก่อน แต่หนักมากจนเวลาใช้งานจริง ไม่สบายมือ หรือทำงานได้ไม่นานเพราะระบบจัดการพลังงานที่จำกัด ให้ดูปัจจัย ต่าง ๆ ในระบบพลังงานสว่านไร้สาย รวมกัน เช่น:

  • ดูแรงดันให้เหมาะกับงาน งานเบา: 12V งานทั่วไป: 18V งานหนัก หรืออุตสาหกรรม: มากกว่า 20V ขึ้นไป
  • ดูความจุแบต ถ้าใช้บ่อย หรือทำงานต่อเนื่อง ควรเลือก แบตเตอรี่ ความจุมากกว่า เช่น จาก 2.0 Ah เป็น 4.0Ah ขึ้นไป เพื่อให้สามารถทำงานได้ยาวนานโดยไม่ต้องชาร์จบ่อย
  • มีแบตสำรองไหม การมีแบตเตอรี่เสริม สำหรับ สว่านไร้สาย ไว้ใช้สลับกัน จะสะดวกกว่ามากเวลาต้องทำงานนอกสถานที่ หรือในพื้นที่ที่ไม่มีปลั๊กไฟ
  • น้ำหนัก และการจับถือ สว่านไร้สายที่ดีต้องสมดุล จับแล้วไม่ล้า หรือเอียงหน้าเกินไป และที่สำคัญคือรู้สึกมั่นคงในมือ แม้จะไม่ได้แรงดันสูงสุดแต่ใช้งานได้ลื่นไหลก็ถือว่าคุ้มกว่าในระยะยาว

ผมอยากเสริมตรงนี้นิดนึงครับ อาจจะไม่ได้เกี่ยวกับตัวสว่านไร้สายโดยตรง เพราะเป็นเทคโนโลยีในส่วนของแบตเตอรี่เครื่องมือไร้สาย แต่บางแบรนด์ ก็มีการออกแบบระบบที่ช่วยให้ ชาร์จเร็ว เหมือนโทรศัพท์มือถือ อาจต้องซื้ออุปกรณ์เสริมหรือเครื่องชาร์จพิเศษ ซึ่งถ้าใครต้องใช้งานต่อเนื่องระหว่างวัน ระบบนี้ช่วยได้มากจริง ๆ

เลือก สว่านไร้สาย ดูที่แบตเตอรี่ ได้ไหม 12V 18V 20V ต่างกันยังไง

สรุป

แบตเตอรี่คือแหล่งพลังงาน ของสว่านไร้สายก็จริงครับ แต่การจ่ายพลังงานจะทำได้ต่อเนื่อง ราบรื่น ก็ต่อเมื่อแบตเตอรี่ ระบบชาร์จ มอเตอร์ และอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และเข้ากันอย่างลงตัว ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจซื้อสว่านไร้สาย ลองถามตัวเองก่อนว่า “ใช้มันทำอะไรบ่อยที่สุด?” แล้วค่อยไปดูแรงดันแบตเตอรี่ครับ

บางครั้งสว่าน 12V ให้แรงบิดใกล้เคียง 18V ของอีกยี่ห้อได้ เพราะเทคโนโลยีภายในต่างกัน หรือบางรุ่น 20V ก็ไม่ได้แรงกว่าเสมอไป ถ้าแบตเตอรี่ และระบบจัดการพลังงานไม่ดีพอ นี่แหละครับ คือเหตุผลที่เราควรเข้าใจให้ลึกกว่าตัวเลขบนกล่องแค่เลขเดียว

สิ่งสำคัญคือภาพรวมของทั้งระบบ แล้ว เลือกให้เหมาะกับลักษณะงาน ความถี่ในการใช้งาน และความสะดวกขณะใช้งานจริง จะทำให้คุณได้สว่านไร้สาย ที่ “คุ้มค่า” มากกว่าการดูแรงดันอย่างเดียวแน่นอน

เพราะ สุดท้ายแล้ว สว่านไร้สาย ที่เหมาะกับคุณจริง ๆ คือตัวที่ให้ความสมดุลระหว่างพลัง ความทน และความสะดวกในการใช้งาน