Customers Also Purchased
ลองนึกภาพ กรรไกร ที่คุณใช้ทุกวันดูสิครับ ไม่ว่าจะเป็น กรรไกรตัดผ้า กรรไกรตัดกระดาษ หรือ กรรไกรตัดเหล็ก ก็ตาม กรรไกร ทุกประเภทจะมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือ “จุดหมุน” ที่อยู่ตรงกลางระหว่างด้ามกับใบมีดนั่นเองครับ ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของ กรรไกร ทั้งเล่มเลยก็ว่าได้ครับ
เราเชื่อว่าหลายคนอาจไม่เคยสนใจมันด้วยซ้ำ เพราะเวลาเราหยิบ กรรไกรมา ตัด เรามักโฟกัสไปที่ “ความคมใบมีด ใช่ไหมล่ะครับ?” ใครจะไปคิดว่าตัวน็อตเล็ก ๆ ที่อยู่ตรงกลางนั่นแหละ คือตัวควบคุมทุกอย่าง ตั้งแต่แรงบีบ ความลื่น ความแม่นของแนวตัด ไปจนถึงความรู้สึกเวลาที่เราบีบด้ามลงไป
เพราะฉะนั้น เวลาที่คุณหยิบ กรรไกร มาตัดอะไรซักอย่างก็ตาม ลองหันมามอง “จุดหมุน” ตรงนั้นสักนิดครับ แล้วคุณอาจจะเข้าใจเลยว่า กรรไกร ดี ๆ มันไม่ได้อยู่ที่คมอย่างเดียว แต่อยู่ที่ “จุดหมุนที่ลงตัว” ระหว่างแรงกับความรู้สึกในมือเรานี่แหละ

ทำไม จุดหมุน ถึงสำคัญกับ กรรไกร ขนาดนั้น?
หลายคนคิดว่า กรรไกร มันก็แค่ใบมีดสองข้างมาชนกัน แต่ในความจริง มันซับซ้อนกว่านั้นมาก เพราะแรงที่ส่งจากมือของเราผ่านด้าม กรรไกร จะถูกถ่ายทอดมายังจุดหมุน ก่อนจะถูกกระจายต่อไปยังใบมีดทั้งสองข้าง ถ้าจุดหมุนออกแบบไม่ดี หรือประกอบไม่แน่นพอ แรงทั้งหมดจะสูญเสียไปในระหว่างทาง
เคยไหมครับ ที่ใช้ กรรไกร ตัดแล้วเหมือนแรงไม่เข้า ตัดกระดาษบาง ๆ ยังไม่ขาด หรือบางทีต้องออกแรงบีบเต็มมือกว่าจะเฉือนผ่าน ปัญหาแบบนั้นมักไม่ได้มาจากใบมีดทื่อเสมอไป แต่อาจมาจากจุดหมุนที่คลายตัว หรือออกแบบไม่ตรงศูนย์
กรรไกร ที่ดี จุดหมุนต้องอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมกับองศาใบมีดและความยาวของด้าม เพื่อให้แรงจากมือถูกส่งต่ออย่างมีประสิทธิภาพที่สุด คล้าย ๆ กับระบบคานในหลักฟิสิกส์เลยครับ ถ้า “แกนหมุน” วางถูกตำแหน่ง แรงนิดเดียวก็สามารถสร้างพลังมหาศาลได้
จาก กรรไกร ราคาถูก ถึงระดับมืออาชีพ
ถ้าคุณเคยลองใช้ กรรไกร ราคาถูกกับ กรรไกร ที่มีราคาสูง สักเล่ม จะรู้เลยครับว่าความรู้สึกมันต่างกันอย่างชัดเจน กรรไกร ถูก ๆ จุดหมุนมักจะใช้หมุดเหล็กธรรมดา ตอกเข้ากับตัวใบโดยไม่มีระบบปรับระยะ เมื่อใช้ไปนาน ๆ หมุดจะหลวม ใบมีดเริ่มแยกออกจากกัน ทำให้เวลาตัดเกิดอาการ “หนีบแต่ไม่ตัด”
ในทางกลับกัน กรรไกร ระดับมืออาชีพจะใช้ระบบจุดหมุนแบบ “สกรูปรับแรง” หรือ “บอลแบริ่ง” ที่ช่วยให้การหมุนของใบมีดลื่นขึ้น และสามารถตั้งแรงกดของใบมีดให้เหมาะกับวัสดุที่ตัดได้ ตัวอย่างเช่น กรรไกรตัดผ้าของช่างเย็บมืออาชีพ จะต้องตั้งจุดหมุนให้แน่นพอดี ไม่แน่นจนฝืด แต่ไม่หลวมจนแฉลบ เพราะวัสดุผ้าจะยืดได้ง่าย ต้องการแรงกดที่สม่ำเสมอมาก ๆ
เราเคยลองใช้ กรรไกร ของช่างตัดผ้าญี่ปุ่นเล่มหนึ่ง ราคาหลายพันบาท แค่จับครั้งแรกก็รู้เลยว่ามันต่างจาก กรรไกร ทั่วไปอย่างสิ้นเชิง เสียงปิดใบ “แกร๊ก” เบา ๆ แต่แน่นและแม่นมาก จุดหมุนลื่นจนแทบไม่ต้องออกแรง แต่ยังรู้สึกได้ว่ามีแรงกดจากใบมีดทั้งสองข้างตลอดแนว มันคือความรู้สึกที่ทำให้เข้าใจทันทีว่า “กรรไกร ดี ๆ มันต่างกันตรงนี้เอง”
ฟิสิกส์ง่าย ๆ ของ กรรไกร ที่คุณอาจไม่เคยรู้
กรรไกร คือเครื่องมือที่ทำงานตามหลักของ คานงัด (Lever) โดยมีจุดหมุนเป็น “Fulcrum” แรงจากมือเราถูกขยายตามสัดส่วนของความยาวด้ามกับใบมีด ถ้าด้ามยาวกว่า แรงที่ปลายใบมีดก็จะมากขึ้น แต่ถ้าจุดหมุนขยับจากตำแหน่งสมดุล แรงก็จะสูญเสียทันที
พูดง่าย ๆ คือ ถ้า กรรไกร ของคุณมีจุดหมุนที่ไม่อยู่ตรงองศาเหมาะสม เช่น เยื้องไปข้างใดข้างหนึ่งมากเกินไป หรือมีระยะห่างระหว่างใบไม่เท่ากัน ความแรงในการตัดจะกระจายไม่สม่ำเสมอ ทำให้ตัดได้เฉพาะช่วงต้น แต่ปลายไม่ขาด ซึ่งเป็นปัญหาที่หลายคนเจอโดยไม่รู้ตัว
นอกจากนี้ วัสดุของจุดหมุนเองก็มีผลต่อประสิทธิภาพการตัดด้วย เช่น จุดหมุนที่ใช้แบริ่งสแตนเลส จะลื่นและทนกว่าจุดหมุนที่ใช้หมุดเหล็กธรรมดา และยังช่วยให้แรงตัดไม่ตกแม้ใช้ต่อเนื่องหลายปี

จุดหมุนหลวม = งานพัง
หลายคนไม่รู้ว่าแค่จุดหมุนคลายนิดเดียว ก็เพียงพอจะทำให้กรรไกรเล่มโปรดกลายเป็นของใช้ไม่ได้เลยทันที เพราะเมื่อจุดหมุนหลวม ใบมีดทั้งสองจะไม่ “ขบกัน” เหมือนเดิม ทำให้แรงตัดไม่ส่งถึงปลาย เคยเห็นไหมครับ เวลาตัดพลาสติกหรือเชือก แล้วใบมีดกลับลื่นหนีไปเฉย ๆ นั่นแหละสัญญาณของจุดหมุนที่คลาย ถ้าเจอแบบนี้อย่าฝืนใช้ เพราะยิ่งฝืน แกนหมุนจะสึกไว และใบมีดอาจบิดจนบิดถาวรได้เลย
กรรไกร บางรุ่นออกแบบมาให้ขันจุดหมุนได้ด้วยไขควงหรือประแจเล็ก ๆ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถปรับแรงกดระหว่างใบมีดได้เอง ถือว่าเป็นจุดได้เปรียบสำหรับคนที่ใช้งานหนัก เช่น ช่างตัดผ้า ช่างไฟ หรือช่างเหล็ก เพราะสามารถ “รีเซ็ตแรงตัด” ได้เมื่อรู้สึกว่า กรรไกร เริ่มหลวม
แล้วจุดหมุนควรแน่นแค่ไหนถึงจะพอดีกับ กรรไกร?
คำตอบจริง ๆ แล้วคือ “พอดีมือ” ครับ แต่คำว่าพอดีของแต่ละคน มันไม่เหมือนกันเลย ต้องอาศัยการลองด้วยตัวเองถึงจะรู้ว่าจังหวะไหนคือใช่ เพราะงานแต่ละแบบใช้แรงต่างกันมาก
อย่างถ้าเป็น กรรไกรตัดผ้า จุดหมุนควรแน่นกว่ากรรไกรทั่วไปนิดหน่อยครับ เพราะเวลาตัดผ้า เราต้องการแรงกดที่ต่อเนื่อง ลื่นไปทั้งแนว โดยไม่ให้ผ้าเคลื่อนหรือหลุดจากแนวคม พูดง่าย ๆ คือมันต้อง “แน่นแต่ไม่ฝืด” เหมือนการบีบมือที่มั่นใจแต่ไม่เกร็ง
ส่วนถ้าเป็น กรรไกรตัดกระดาษ หรือพลาสติกบาง ๆ แบบที่ใช้ในออฟฟิศหรือ DIY เล็ก ๆ ควรตั้งให้ “ลื่นมือ” หน่อยครับ จะได้เปิด-ปิดได้ต่อเนื่อง ตัดได้เร็วโดยไม่ต้องออกแรงเยอะ เพราะถ้าจุดหมุนแน่นเกินไป เวลาตัดนาน ๆ จะรู้สึกเมื่อยข้อมือขึ้นมาทันที แต่ถ้าเป็น กรรไกรตัดเหล็ก หรืออลูมิเนียม ล่ะก็ อันนี้คนละเรื่องเลยครับ จุดหมุนต้องแน่นจริง ๆ เพื่อให้แรงกดจากด้ามส่งไปถึงปลายใบได้เต็มที่ ถ้าหลวมเมื่อไหร่ แรงจะหายทันที เหมือนเหวี่ยงฆ้อนโดยด้ามโยก แทบไม่ต่างจากตัดเล่น
วิธีเช็กง่าย ๆ ว่าจุดหมุนของ กรรไกร เราโอเคไหมคือ ให้ถือ กรรไกร ในแนวตั้ง แล้วลองขยับใบมีดดู ถ้าใบขยับโยกได้มากเกินไป แสดงว่าหลวมครับ แต่ถ้าขยับไม่ได้เลย แถมรู้สึกฝืดตั้งแต่เริ่มบีบ นั่นก็แน่นไปหน่อย ต้องคลายน็อตออกนิดเดียว แค่ให้รู้สึกว่าใบยังสัมผัสกันอยู่ แต่ไม่ฝืนแรงนิ้ว
วัสดุของ จุดหมุน ของ กรรไกร ก็สำคัญไม่แพ้กัน
ไม่ใช่ทุก กรรไกร จะใช้วัสดุเดียวกันในส่วนของจุดหมุนครับ บางรุ่นใช้เหล็กชุบโครเมียม, บางรุ่นใช้ทองเหลือง, และบางรุ่นระดับโปรใช้สแตนเลสหรือแบริ่งลูกปืนจริง ๆ เพื่อความลื่นและทน
- ทองเหลือง: เหมาะกับงานที่ต้องการการหมุนลื่นและเงียบ เช่น กรรไกรตัดผ้าญี่ปุ่น เพราะทองเหลืองมีคุณสมบัติหล่อลื่นในตัว ไม่เป็นสนิม ใช้งานแล้วจะรู้สึกได้เลยว่าการเปิด-ปิดมันนุ่มมือ ไม่มีเสียงเอี๊ยด ๆ ให้รำคาญใจ เหมือนมันมีน้ำมันหล่อลื่นอยู่ในตัวโดยธรรมชาติเลยครับ
- เหล็กชุบแข็ง: แข็งแรง ทนแรงบีบสูง เหมาะกับกรรไกรตัดโลหะหรืองานช่างหนัก เวลาจับใช้งานจะรู้เลยครับว่ามันแน่นมือสุด ๆ เหมือนมีแรงเสริมอยู่ในใบกรรไกร ยิ่งตัดเหล็กแผ่นหรือเส้นลวด ก็รู้สึกได้ว่ามันเฉือนขาดในจังหวะเดียวโดยไม่ต้องออกแรงมากนัก
- แบริ่งลูกปืน: ใช้ใน กรรไกร ระดับพรีเมียม เช่น กรรไกรตัดคาร์บอนไฟเบอร์ ช่วยให้การเปิดปิดนิ่งและไม่ต้องหยอดน้ำมันบ่อย เวลาจับใช้งานจะรู้สึกเลยครับว่ามันลื่นมาก เหมือนมีแรงช่วยหมุนอยู่ในตัว ไม่ต้องออกแรงเยอะ แต่ได้แรงตัดเต็ม ๆ และเสียงตอนเปิดปิดก็เงียบกริบจนรู้เลยว่างานละเอียดแน่
เราเคยลอง กรรไกร ที่มีจุดหมุนเป็นทองเหลืองเก่า ๆ จากช่างตัดผ้ารุ่นเก๋า เขาบอกว่าใช้มาเกิน 10 ปีแล้ว ยังหมุนลื่นเหมือนใหม่ แค่หยอดน้ำมันจักรเดือนละครั้งก็พอ นั่นแหละครับคือความต่างของวัสดุที่ดี และถ้าคุณอยากให้ กรรไกร ของตัวเองอยู่กับคุณไปอีกนาน ไม่ทื่อ ไม่ฝืด ไม่คลอน เรามี 10 การบำรุงรักษา กรรไกร ของคุณให้คมอยู่เสมอ เพื่อให้คุณใช้งานได้ไปนานๆ

การดูแลจุดหมุน เพื่อยืดอายุ กรรไกร
ไม่ว่า กรรไกร เล่มนั้นจะดีหรือแพงแค่ไหนครับ ถ้าไม่ดูแล “จุดหมุน” สุดท้ายมันก็เสื่อมแน่นอน เพราะส่วนนี้แหละที่ทำงานหนักที่สุด รับแรงทุกครั้งที่เราบีบและคลาย ใครที่ใช้กรรไกรบ่อย ๆ คงรู้ดีว่าพอจุดหมุนเริ่มฝืดหรือมีเสียง “แกร๊ก ๆ” เมื่อไหร่ นั่นคือสัญญาณเตือนว่ามันเริ่มล้าละครับ
- หลังใช้งานทุกครั้ง ลองเช็ดให้สะอาดสักหน่อย โดยเฉพาะบริเวณจุดหมุน เพราะถ้ามีเศษฝุ่น เส้นใยผ้า หรือเศษโลหะเล็ก ๆ เข้าไป มันจะขูดจนเกิดรอยสึก พอใช้ไปนาน ๆ จุดหมุนจะคลอนโดยไม่รู้ตัว
- หยอดน้ำมันบาง ๆ ทุก 1–2 เดือน ไม่ต้องถึงขั้นชโลมครับ แค่แตะ ๆ ด้วยน้ำมันจักรหรือน้ำมันหล่อลื่นทั่วไปก็พอ ช่วยให้หมุนลื่นขึ้นและกันสนิมได้ดีมาก ยิ่งใครเก็บ กรรไกร ไว้ในกล่องเครื่องมือที่มีความชื้นบ้าง จะเห็นผลชัดเลย
- อย่าพยายามทุบหรือบีบใบมีดเอง เวลารู้สึกว่ามันฝืด เพราะแรงที่กดผิดทิศจะทำให้หมุดบิด หรือเพลาหลวมยิ่งกว่าเดิม ถ้ารู้สึกแน่นหรือฝืดเกินจริง ๆ ให้ใช้ไขควงหรือประแจปรับน็อตเบา ๆ จะปลอดภัยกว่าเยอะครับ
- ถ้ามีเสียงดัง “เอี๊ยด ๆ” หรือ “แกร๊ก ๆ” ให้หยุดใช้แล้วเช็กเลยครับ อาจมีเศษฝุ่นเล็ก ๆ เข้าไป หรือแรงบิดของน็อตคลายจากเดิมเล็กน้อย ซึ่งถ้าปล่อยไว้นานจะยิ่งเสียหาย
เลือก กรรไกร ให้เหมาะกับการใช้งาน
TH
English





