วัสดุ สายยาง อุตสาหกรรม 8 ชนิดยอดนิยม — เข้าใจให้ลึกก่อนเลือกใช้ผิดงาน!

Customers Also Purchased

วัสดุสายยางอุตสาหกรรม 8 ชนิดยอดนิยม — เข้าใจให้ลึกก่อนเลือกใช้ผิดงาน!

ในสายตาคนทั่วไป “สายยาง” ก็ดูเหมือนจะเหมือนกันหมด — เส้นกลม ๆ ยืดหยุ่นได้ ต่อเข้ากับหัวปั๊มหรือเครื่องมือแล้วใช้งานได้เลย แต่ในโลกของโรงงานและงานอุตสาหกรรมจริง ๆ แล้ว ความแตกต่างของ เนื้อวัสดุ คือสิ่งที่แยก สายยาง ราคาหลักสิบออกจาก สายยาง ราคาหลักพัน

วัสดุแต่ละชนิด เช่น PVC, PU, NBR หรือ EPDM ไม่ได้แค่ต่างกันเรื่องราคา แต่มันส่งผลโดยตรงต่อ แรงดันที่รับได้, สารเคมีที่ทนได้, อุณหภูมิที่ใช้งานได้, และ อายุการใช้งาน ของระบบ ถ้าเลือกวัสดุผิด แค่เปลี่ยนของเหลวจากน้ำเป็นน้ำมัน — สายที่เคยดี ๆ ก็อาจบวม แตก หรือรั่วภายในไม่กี่วัน วันนี้น้องช่างเลยชวนมาเปิดดูว่า วัสดุที่ใช้ผลิตสายยางอุตสาหกรรมมีอะไรบ้าง และควรเลือกยังไงให้ไม่พลาด

สายยางอุตสาหกรรม

ทำไม “วัสดุ” ถึงสำคัญที่สุดใน สายยาง อุตสาหกรรม

ในระบบลำเลียงของเหลว (Fluid System) “สายยาง” คือเส้นเลือดของเครื่องจักร ต้องรับทั้งแรงดัน แรงดูด ความร้อน และสารเคมีพร้อมกัน การเลือกวัสดุผิดเท่ากับเอา “เส้นเลือดคน” ไปใช้กับ “เครื่องจักร” — อยู่ได้ไม่นานแน่ ๆ

  • ใช้ PVC กับน้ำมันเครื่อง → สายพอง นิ่ม และรั่ว
  • ใช้ PU ลม ไปดูดน้ำร้อน → เนื้อยางเสียรูป
  • ใช้ EPDM กับน้ำมัน → สายแตกภายในไม่กี่ชั่วโมง
น้องช่างเตือนอย่าเลือกสายจาก “สี” หรือ “ความหนา” อย่างเดียวเด็ดขาด! เพราะ สายยาง อุตสาหกรรมแต่ละแบบ อาจผลิตจากวัสดุต่างกันโดยสิ้นเชิง แม้หน้าตาคล้ายกันทุกประการ

วัสดุ สายยาง อุตสาหกรรมยอดนิยม 8 ชนิด

1) PVC (Polyvinyl Chloride)

PVC คือวัสดุมาตรฐานที่ทุกโรงงานต้องเคยใช้แน่ ๆ มันเป็นพลาสติกกึ่งแข็งที่ถูกปรับให้นิ่มด้วยสาร plasticizer เพื่อให้ยืดหยุ่นได้พอเหมาะ ไม่แตกง่ายเมื่อโดนแรงงอ จึงเหมาะกับการใช้งานทั่วไป เช่น สายน้ำ สายลม หรือสายดูด–ส่งแรงดันต่ำ ความดีงามของ PVC คือราคาย่อมเยา น้ำหนักเบา และผลิตง่าย ทำให้กลายเป็นวัสดุที่พบได้แทบทุกหมวด ตั้งแต่โรงงานผลิตอาหารไปจนถึงงานก่อสร้าง

แต่ ข้อจำกัด ของมันก็ชัดเจน — PVC ไม่ทนความร้อนเกิน 60°C และไม่ถูกกับสารละลายอินทรีย์ เช่น น้ำมัน หรือทินเนอร์ หากใช้ผิดงาน สายจะเริ่มนิ่ม บวม และสุดท้ายแตกรั่วเป็นรอยย่น ๆ นอกจากนี้ มันยังเสื่อมสภาพไวเมื่อโดนแสง UV นาน ๆ จึงไม่ควรใช้กลางแจ้งโดยไม่มีการป้องกัน

น้องช่างแนะนำถ้าเป็นงานน้ำทั่วไป งานลมแรงดันต่ำ หรือระบบดูดส่งในพื้นที่ในร่ม PVC คือทางเลือกที่ดีและประหยัดสุด

วัสดุ สายยาง อุตสาหกรรม 8 ชนิดยอดนิยม — เข้าใจให้ลึกก่อนเลือกใช้ผิดงาน

2) PU (Polyurethane)

ถ้า PVC คือสายเบสิกของวงการ PU ก็เหมือน “รุ่นพี่สายลุย” ที่ทั้งยืดหยุ่น แข็งแรง และทนแรงดันได้มากกว่า ผลิตจากปฏิกิริยาระหว่าง polyol และ isocyanate ทำให้ได้วัสดุที่มีความเหนียว คืนรูปไว และไม่หักงอง่าย แม้พับซ้ำ ๆ ก็ไม่เสียทรง จุดเด่นของ PU คือทนแรงดันได้สูงกว่า PVC หลายเท่า จึงนิยมใช้ในระบบลม เครื่องอัดลม หรือแขนกลในโรงงานอัตโนมัติ

PU มีอยู่สองตระกูลหลักที่ควรรู้ คือ

  • Ether-base PU ทนน้ำ ไม่บวมเมื่อโดนความชื้น เหมาะกับระบบลมและของเหลว
  • Ester-base PU ทนน้ำมันดีกว่า เหมาะกับระบบที่มีน้ำมันหล่อลื่นปนอยู่

ข้อจำกัด คือ PU ไม่ชอบแสงแดด ถ้าเก็บในที่โดน UV หรือความร้อนจัดนาน ๆ เนื้อยางจะเริ่มเหลือง กรอบ และแตกในที่สุด

น้องช่างแนะนำงานลมแรงดันสูง งานพ่นสี หรืองานที่ต้องการสายยืดหยุ่นเคลื่อนไหวบ่อย ๆ PU คือคำตอบที่ทั้งปลอดภัยและใช้งานสะดวกสุด

3) NBR (Nitrile Butadiene Rubber)

พูดถึง “สายทนน้ำมัน” ไม่มีใครแทน NBR ได้ เพราะนี่คือยางสังเคราะห์ที่เกิดจากการรวมตัวของ Acrylonitrile (AN) กับ Butadiene (BD) ซึ่งให้ทั้งความยืดหยุ่นและความทนน้ำมันในตัวเดียวกัน ยิ่งมีสัดส่วน AN มากเท่าไร ความทนน้ำมันก็ยิ่งสูงตาม แต่จะแลกมาด้วยความแข็งขึ้นเล็กน้อย

NBR ถูกใช้ในระบบที่ต้องสัมผัสกับน้ำมัน เครื่องจักร หรือเชื้อเพลิงโดยตรง เช่น สายดูด–ส่งน้ำมันในโรงงานหล่อลื่น หรือสถานีเติมน้ำมัน จุดเด่นคือทนต่อจาระบี น้ำมันเครื่อง และสารไฮโดรคาร์บอนได้ดีเยี่ยม อีกทั้งยังรับแรงดันได้สูงโดยไม่บวม

จุดอ่อนของ NBR คือไม่ทนโอโซนและรังสี UV ถ้าใช้กลางแจ้งต้องหุ้มป้องกัน และไม่เหมาะกับของเหลวที่เป็นกรดหรือด่างแรง

น้องช่างแนะนำระบบหล่อลื่น/เชื้อเพลิง ให้มองหา NBR เป็นหลัก

4) EPDM (Ethylene Propylene Diene Monomer)

EPDM คือยางสังเคราะห์ที่สร้างมาเพื่อรับความร้อนและสารเคมีโดยเฉพาะ โครงสร้างโมเลกุลของมันทนต่อการออกซิเดชันสูงมาก ทำให้สามารถใช้งานได้ยาวนานแม้อยู่ในสภาพร้อนจัดหรือโดน UV ตลอดเวลา สาย EPDM จึงเหมาะอย่างยิ่งกับโรงงานเคมี โรงงานอาหาร หรือระบบล้างท่อ (CIP) ที่ต้องเจอน้ำร้อนหรือไอน้ำแรง ๆ เป็นประจำ

คุณสมบัติที่โดดเด่นของ EPDM คือทนกรด ด่าง และสารเคมีอ่อน ๆ ได้ดีมาก รวมถึงไอน้ำและน้ำร้อนถึง 150°C โดยไม่เสียรูป จุดอ่อน มีเพียงอย่างเดียว — มันไม่ทนน้ำมันเลย ถ้าใช้ผิดงานจะบวมและฉีกภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง

น้องช่างเตือนหลายคนมักเข้าใจผิดว่า “สายทนเคมี” ใช้กับน้ำมันได้ แต่สำหรับ EPDM นั้นตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง!

5) Silicone Rubber

ซิลิโคน คือวัสดุที่สะอาดที่สุดในกลุ่ม สายยาง ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร ยา และเครื่องมือแพทย์ เพราะมันไม่ดูดซึมกลิ่น ไม่ละลาย และทนความร้อนได้สูงถึง 200°C โครงสร้างของซิลิโคนเป็นพันธะระหว่างซิลิกากับออกซิเจน (Si–O–Si) ซึ่งให้ทั้งความยืดหยุ่นและความคงตัวทางเคมีในเวลาเดียวกัน

สายยาง ซิลิโคน มีทั้งแบบธรรมดาและแบบ Food Grade ซึ่งผ่านมาตรฐาน FDA และ RoHS ทำให้มั่นใจได้ว่าไม่มีสารปนเปื้อนเข้าสู่อาหารหรือยา จุดเด่นคือผิวภายในเรียบ ของเหลวไม่เกาะตะกอน เหมาะกับระบบบรรจุ เครื่องกรอง หรือการลำเลียงของเหลวบริสุทธิ์ในห้องแลป

อย่างไรก็ตาม ซิลิโคนไม่ทนน้ำมันแร่และแรงดันสูงมากนัก หากต้องใช้ในระบบอุตสาหกรรมหนักอาจต้องเสริมโครงลวดหรือเลือกวัสดุอื่นแทน

วัสดุ สายยาง อุตสาหกรรม 8 ชนิดยอดนิยม — เข้าใจให้ลึกก่อนเลือกใช้ผิดงาน

6) PTFE / FEP / PFA (Fluoropolymer)

นี่คือ สายยาง ชั้นสูงที่คนในวงการเรียกติดปากว่า “เทฟลอน (Teflon)” ทั้งหมดอยู่ในกลุ่ม ฟลูออโรโพลิเมอร์ ซึ่งทนสารเคมีได้แทบทุกชนิด ไม่ว่าจะกรดกำมะถันเข้ม ด่างแรง หรือสารละลายอินทรีย์ จุดเด่นคือทนอุณหภูมิสูงสุดถึง 260°C โดยไม่ละลายหรือกรอบ

สาย PTFE/FEP/PFA มีผิวในเรียบลื่น ของเหลวไหลผ่านได้โดยไม่เกิดคราบหรือแรงเสียดทาน ใช้ในงานเคมี โรงงานยา หรืออุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องการความสะอาดและความบริสุทธิ์สูงสุด แต่ราคาก็สูงตาม และเพราะเนื้อค่อนข้างแข็ง ทำให้โค้งงอยาก ต้องใช้กับระบบที่มีพื้นที่เพียงพอในการติดตั้ง

น้องช่างเตือนสำหรับสารเคมีแรง ๆ ไม่มีวัสดุไหนปลอดภัยเท่า PTFE อีกแล้ว แต่อย่าใช้กับงานแรงดันสูงโดยไม่เสริมลวด เพราะอาจเกิดรอยแตกได้เมื่อเวลาผ่านไป

7) NR / SBR (Natural Rubber / Styrene-Butadiene Rubber)

กลุ่มยางธรรมชาติและยางสังเคราะห์พื้นฐานที่ยังคงถูกใช้กันแพร่หลายในงานอุตสาหกรรมหนัก เช่น งานดูดทราย ดูดโคลน หรือระบบดูดแรง เพราะยืดหยุ่นสูงมากและรับแรงสั่นสะเทือนได้ดี NR มีความนิ่มและยืดหยุ่นเหนือกว่ายางอื่น ขณะที่ SBR ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มความทนทานต่อการเสียดสี

สองวัสดุนี้ใช้ได้ดีในอุณหภูมิ –20 ถึง 80°C แต่ไม่ทนน้ำมันและแสง UV หากอยู่กลางแจ้งหรือสัมผัสน้ำมันนาน ๆ จะเริ่มแตกร้าว จึงควรใช้ในงานภายในโรงงานหรือสภาพแวดล้อมควบคุม

8) TPE / TPV / TPR (Thermoplastic Elastomer)

วัสดุรุ่นใหม่ที่อยู่กึ่งกลางระหว่าง “ยาง” กับ “พลาสติก” เป็นการผสมคุณสมบัติของทั้งสองโลกเข้าด้วยกัน ทำให้ได้สายที่เบา ยืดหยุ่น แต่ขึ้นรูปได้ง่ายแบบพลาสติก เหมาะกับงานเบา เช่น อุปกรณ์ทดลอง เครื่องมือแพทย์ หรือระบบที่ไม่ต้องรับแรงดันสูงมาก

TPE สามารถรีไซเคิลได้ จึงเริ่มได้รับความนิยมในอุตสาหกรรมที่ต้องการลดของเสีย แต่ยังไม่ใช่วัสดุหลักของสายอุตสาหกรรมหนัก เพราะไม่ทนแรงดันและสารเคมีแรงเท่า NBR หรือ EPDM

น้องช่างฝากไว้งานเบาใช้ TPE ได้ งานจริงจังด้านน้ำมัน/เคมี ให้ไป NBR/EPDM/Fluoropolymer

เปรียบเทียบวัสดุ สายยาง อุตสาหกรรม

เลือกวัสดุที่ต้องการเปรียบเทียบ (สูงสุด 3 ชนิด)

คลิกปุ่มเพื่อเลือก 2–3 ชนิด แล้วดูการ์ดเทียบด้านล่าง
เลือกไว้: 2/3
เลือกได้สูงสุด 3 ชนิดนะคะ
⭐ = ระดับคุณสมบัติ ❌ = ไม่เหมาะ/ไม่ทน อุณหภูมิเป็นช่วงใช้งานทั่วไป (สูตรยาง/โครงเสริมมีผล)
PVC

PVC (Polyvinyl Chloride)

งานทั่วไป ราคาย่อมเยา

  • แรงดัน: ⭐⭐ ปานกลาง
  • อุณหภูมิใช้งาน: –10 ถึง ~60°C
  • ทนน้ำมัน: ❌ ไม่ทน
  • ทนสารเคมี: ⭐ พอประมาณ
  • คุณสมบัติเด่น: เบา ราคาถูก ผนังใสเห็นการไหล
  • งานแนะนำ: น้ำ/ลมทั่วไป งานเบาในร่ม
NBR

NBR (Nitrile Butadiene Rubber)

ทนน้ำมัน/เชื้อเพลิงยอดเยี่ยม

  • แรงดัน: ⭐⭐⭐ สูง
  • อุณหภูมิใช้งาน: –30 ถึง ~100°C
  • ทนน้ำมัน: ⭐⭐⭐⭐ ดีเยี่ยม
  • ทนสารเคมี: ⭐ ต่ำ (กรด/ด่างแรงไม่เหมาะ)
  • คุณสมบัติเด่น: ทนน้ำมัน จาระบี เชื้อเพลิง
  • งานแนะนำ: น้ำมัน ระบบหล่อลื่น เครื่องจักร

หมายเหตุ: ข้อมูลในส่วนการเปรียบเทียบวัสดุสายยางนี้เป็นค่าประมาณทั่วไปในงานอุตสาหกรรมจริง คุณสมบัติอาจแตกต่างกันตามสูตรยาง ความหนา และโครงสร้างเสริมของสายแต่ละรุ่น เช่น การถักใยหรือเสริมลวด ก่อนเลือกใช้งานจริงควรตรวจสอบสเปกจากผู้ผลิตโดยตรง โดยเฉพาะในระบบที่มีแรงดันสูงหรือสารเคมีเข้มข้น เพื่อความปลอดภัยสูงสุดค่ะ

บทความที่เกี่ยวข้อง

- ทำไม สายยางถักใยด้าย ถึงทนแรงดันได้ดีกว่า สายยางเสริมสปริง?

- สายยางทนเคมี สายยางดูดน้ำ สายยางลม ต่างกันตรงไหน?

วัสดุ สายยาง อุตสาหกรรม 8 ชนิดยอดนิยม — เข้าใจให้ลึกก่อนเลือกใช้ผิดงาน

มาตรฐานและการเลือกสายให้ปลอดภัย

การเลือก สายยาง อุตสาหกรรมไม่ใช่แค่ดูจากเส้นผ่านศูนย์กลางหรือความหนาเท่านั้น แต่สิ่งสำคัญที่หลายคนมักมองข้ามคือ “มาตรฐานและการรับรองความปลอดภัย” ซึ่งเป็นตัวบอกว่าผลิตภัณฑ์เส้นนั้นผ่านการทดสอบตามเงื่อนไขการใช้งานจริงแล้วหรือยัง เพราะในสายงานอุตสาหกรรม ความเสียหายจากการใช้สายผิดมาตรฐานอาจไม่ใช่แค่เรื่องซ่อมของแพง แต่รวมถึงความเสี่ยงด้านชีวิตและความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานด้วย

มาตรฐานที่มักพบใน สายยาง อุตสาหกรรมมีหลายระบบ เช่น

  • มอก. (TIS) — มาตรฐานอุตสาหกรรมของไทยที่กำหนดค่าทดสอบด้านแรงดันและการรั่วซึม
  • ISO / DIN / SAE — มาตรฐานสากลจากยุโรปและอเมริกา ที่ใช้บ่งบอกค่าทนแรงดันและอุณหภูมิสูงสุด
  • RoHS (Restriction of Hazardous Substances) — รับรองว่าสายไม่มีโลหะหนักหรือสารพิษตกค้าง เหมาะกับโรงงานที่เน้นสิ่งแวดล้อม
  • FDA / Food Grade — สำหรับ สายยาง ที่ใช้ในงานอาหารและยา บ่งบอกว่าผ่านการรับรองด้านความปลอดภัยต่อการบริโภค
  • REACH / CE — มาตรฐานความปลอดภัยทางเคมีและการใช้งานภายในยุโรป

เวลาซื้อ สายยาง อุตสาหกรรม ลองสังเกตดูว่าบนตัวสายมักจะพิมพ์รหัสไว้ เช่น

“TOYOX TR-19 1/2" WP 2.0MPa TEMP 60°C FOOD GRADE”

รหัสพวกนี้แปลได้ว่า

  • WP (Working Pressure) คือแรงดันที่ใช้งานได้จริง (ไม่ใช่แรงดันแตก)
  • TEMP คือช่วงอุณหภูมิที่ปลอดภัย
  • FOOD GRADE / CHEMICAL / OIL คือประเภทการใช้งาน
  • ชื่อรุ่น + ขนาด (in/mm) คือขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง

การเลือกให้ปลอดภัยจึงต้องดูให้ครบทั้ง “วัสดุ + แรงดัน + อุณหภูมิ + มาตรฐาน” เพื่อให้มั่นใจว่า สายยาง เส้นนั้นเหมาะกับของเหลวที่ใช้และสภาพแวดล้อมในงานจริง

น้องช่างแนะนำถ้าเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับแรงดันสูงหรือของเหลวอันตราย อย่าซื้อ สายยาง ที่ไม่มีการพิมพ์รหัสสเปกบนตัวสายเด็ดขาด เพราะนั่นอาจหมายความว่ายังไม่ผ่านการทดสอบมาตรฐานความปลอดภัย

สุดท้ายแล้ว มาตรฐานไม่ได้มีไว้เพื่อเพิ่มราคา แต่มันคือ “หลักประกันชีวิต” ให้เรามั่นใจว่าอุปกรณ์ทุกชิ้นในระบบจะทำงานได้อย่างปลอดภัยและยั่งยืนในระยะยาว

“จำไว้นะคะ... สายยาง ที่ดีไม่ใช่เส้นที่แพงที่สุด แต่คือเส้นที่ ‘เหมาะกับงาน’ ของเรา และใช้อย่างเข้าใจ