Customers Also Purchased
เวลาพูดถึง เครื่องปั่นไฟ หลายๆคนอาจจะนึกง่าย ๆ ว่า “เอามาเสียบปลั๊กใช้ไฟได้ก็โอเคแล้ว” จบ! แต่ความจริงมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นครับ เพราะถ้าเลือกขนาดไม่พอ เครื่องปั่นไฟ ก็ตัดเอาดื้อ ๆ ใช้อะไรก็ไม่ติด เราเองเคยเจอกับตัวที่ไซต์งานก่อสร้าง เครื่องปั่นไฟ เล็ก ๆ ตั้งอยู่ตัวเดียว แต่ทุกคนก็เอาเครื่องมือมาเสียบพร้อมกัน ทั้งสว่าน ค้อนลม เครื่องเชื่อม ไฟส่องสว่าง เรียกว่ามาเต็มทุกทิศทุกทาง ผลคือเครื่องดับไปหลายรอบ ละก็น็อคไปเลย เสียจังหวะงานไปเยอะ กว่าจะรู้ว่าสาเหตุมันอยู่ที่ “คำนวณโหลดไม่ถูกต้อง” ก็เสียเวลาไปครึ่งวันแล้ว!
พอเจอแบบนี้แล้วเราเลยเข้าใจว่า ถ้าจะซื้อ เครื่องปั่นไฟ สักเครื่อง สิ่งแรกที่ต้องทำไม่ใช่ไปเลือกแบรนด์หรือดีไซน์ แต่ต้อง “คำนวณโหลดไฟฟ้า” ให้ถูกต้องก่อนครับ จะได้รู้ว่าเราต้องใช้ไฟประมาณเท่าไหร่จริง ๆ ไม่ต้องมานั่งเดาเอาทีหลัง ไม่งั้นจากที่คิดว่าจะได้เครื่องมือช่วยงาน กลับกลายเป็นตัวถ่วงซะงั้น!
โหลดไฟฟ้าคืออะไร? ทำไมต้องดูก่อนเลือก เครื่องปั่นไฟ
โหลดไฟฟ้า พูดง่าย ๆ ก็คือ “ปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่อุปกรณ์กินเข้าไป” นั่นแหละครับ เวลาที่เราเสียบปลั๊กพัดลม ทีวี ตู้เย็น หรือสว่านเข้าไป แต่ละเครื่องก็จะดูดไฟออกมาใช้ตามความต้องการของมัน ซึ่งปริมาณที่ใช้ตรงนี้เราจะวัดกันเป็นหน่วย วัตต์ (Watt) หรือถ้าเยอะหน่อยก็ กิโลวัตต์ (kW)
ลองนึกภาพง่าย ๆ ว่า เครื่องปั่นไฟ แต่ละรุ่น มันก็เหมือน “ตู้เย็นที่มีความจุต่างกัน” นั่นเองครับ ถ้าเราเอาของไปยัดเกินตู้เย็นก็ปิดไม่ลง แถมพังเร็วอีกต่างหาก เครื่องปั่นไฟก็เหมือนกัน ถ้าเราเสียบอุปกรณ์กินไฟเกินกำลังที่มันรับได้ สุดท้ายมันก็ตัดหรือทำงานไม่ไหว แต่ถ้าเราเลือกขนาดพอดี ๆ ไม่เล็กเกินไป ไม่ใหญ่เกินไป เครื่องก็จะทำงานได้เต็มที่ เสถียร แถมอายุการใช้งานก็นานขึ้นด้วย
- ถ้า เครื่องปั่นไฟ เล็กไป มันก็เหมือนเราเอารถมอเตอร์ไซค์ไปบรรทุกของหนัก ๆ วิ่งได้แป๊บเดียวก็แผ่วแล้ว แต่ถ้า เครื่องปั่นไฟ ใหญ่เกินไป ก็เหมือนเอารถบรรทุกสิบล้อมาวิ่งรับจ้างขนของแค่ถุงเดียว เปลืองน้ำมันฟรี ๆ
เพราะฉะนั้น ก่อนซื้อ เครื่องปั่นไฟ อย่าลืมเริ่มที่การ คำนวณโหลดไฟฟ้า ก่อนทุกครั้งครับ ไม่งั้นมีโอกาสพลาดแล้วจะเสียทั้งเวลาและเงินโดยไม่รู้ตัว
ขั้นตอนการคำนวณโหลดก่อนซื้อ เครื่องปั่นไฟ
เวลาเราจะเลือก เครื่องปั่นไฟ สิ่งแรกที่ต้องทำ ไม่ใช่เดินไปที่ร้านแล้วถามว่า “รุ่นไหนขายดีครับ” แต่คือการ คำนวณโหลดไฟฟ้า ของตัวเองก่อน ว่าจะเอามาใช้กับอะไรบ้าง เพราะถ้าไม่รู้ตรงนี้ มีสิทธิ์พลาดง่าย ๆ เลยครับ
1. ทำรายการอุปกรณ์ไฟฟ้าที่จะใช้
เริ่มต้นง่าย ๆ เลยครับ หยิบกระดาษมาลิสต์รายการว่าเราจะใช้เครื่องอะไรบ้าง พร้อมเขียนกำลังไฟ (Watt) เอาไว้ เช่น
- หลอดไฟ 5 ดวง ดวงละ 20W = 100W
- พัดลม 2 ตัว ตัวละ 80W = 160W
- ทีวี 1 เครื่อง 200W = 200W
- ตู้เย็น 1 เครื่อง 500W (อย่าลืมว่าตอนสตาร์ทมันกินไฟมากกว่าตอนทำงานปกติด้วยนะครับ)
รวมแล้วตอนนี้ได้ โหลดรวมประมาณ 960W ตรงนี้จะทำให้เราเห็นภาพคร่าว ๆ เลยว่า “โอเค เราใช้งานจริง ๆ ประมาณนี้”
2. แยกโหลดที่เป็น “มอเตอร์” ออกมา
เครื่องใช้ไฟฟ้า ที่มี มอเตอร์ นี่แหละครับ ตัวป่วนที่สุด เช่น ตู้เย็น ปั๊มน้ำ เครื่องเชื่อม เครื่องปรับอากาศ หรือแม้แต่พัดลมธรรมดา ๆ พวกนี้เวลา “สตาร์ท” มันจะกินไฟสูงกว่าตอนใช้งานจริงประมาณ 2–3 เท่า
อย่างเช่นตู้เย็นที่เราเห็นว่าใช้ไฟ 500W แต่พอคอมเพรสเซอร์มันเริ่มทำงานจริง ๆ อาจพุ่งไปถึง 1,500W เลยทีเดียว ถ้า เครื่องปั่นไฟ เล็กเกินไป รับโหลดไม่ไหวแน่นอนครับ เครื่องก็ดับไปแบบงง ๆ
3. รวมโหลดทั้งหมด
จากตัวอย่างด้านบน เราได้โหลดรวมปกติที่ 960W แต่พอต้องเผื่อการสตาร์ทของตู้เย็นอีกประมาณ 1,000W รวม ๆ กันแล้วจะกลายเป็น 1,960W พูดง่าย ๆ คือถ้าอยากใช้งานได้จริงจัง ควรเลือก เครื่องปั่นไฟ ที่ อย่างน้อย 2kW ขึ้นไป
4. บวกเผื่อความปลอดภัย 20–30%
นี่คือ กฎเหล็ก ที่เราอยากย้ำเลยครับ อย่าเลือก เครื่องปั่นไฟ ที่กำลังเท่ากับโหลดเป๊ะ ๆ เพราะชีวิตจริงมันไม่เคยนิ่งแบบที่เราคิดหรอกครับ วันดีคืนดี มีเพื่อนมาบ้านเสียบกาต้มน้ำเพิ่ม หรือมีใครหยิบสว่านมาใช้เพิ่มเข้าไปอีก เครื่องก็อาจเอาไม่อยู่ทันที
ดังนั้นถ้าโหลดรวมได้ 2kW ผมแนะนำว่า ควรเลือก เครื่องปั่นไฟ สัก 2.5–3kW ขึ้นไป จะได้สบายใจ ใช้งานได้ยาว ๆ ไม่ต้องคอยกังวลว่าเมื่อไรเครื่องจะดับนั่นเอง และตรงนี้หลายคนก็มักจะมีคำถามต่อว่า “ความแตกต่างระหว่าง kVA และ kW ของ เครื่องปั่นไฟ คืออะไร?” เพราะเวลาเลือกซื้อจริง ๆ เราจะเจอทั้งสองหน่วยอยู่บ่อย ๆ ซึ่งถ้าไม่เข้าใจอาจเลือกผิดได้เลยครับ
เคล็ดลับง่าย ๆ ก่อนตัดสินใจซื้อ เครื่องปั่นไฟ
เวลาเลือกซื้อ เครื่องปั่นไฟ หลายคนชอบคิดว่า “แค่เอามาเสียบปลั๊กใช้ก็จบ” แต่จริง ๆ มันมีทริคเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ช่วยให้เราเลือกได้ถูก ไม่พลาดทีหลังครับ ลองทำตามนี้ดู ผมสรุปมาให้แบบเข้าใจง่ายเลย
- คำนวณโหลดจริงก่อน – ก่อนอื่นจดชื่ออุปกรณ์ทั้งหมดที่คิดว่าจะเอามาใช้ อย่าคิดเอาเองว่า “ก็น่าจะพอ” เพราะไฟฟ้ามันไม่ใช่เรื่องประมาณด้วยความรู้สึกครับ บางทีเครื่องเล็ก ๆ แต่กินไฟหนักกว่าที่คิดก็มี
- เผื่อโหลดสตาร์ทของมอเตอร์ – ของพวกนี้แหละตัวกินไฟตัวจริง เช่น ตู้เย็น แอร์ ปั๊มน้ำ ตอนเริ่มสตาร์ทไฟมันพุ่งสูงมาก ถ้าไม่เผื่อไว้ เครื่องปั่นไฟ จะดับทันที
- บวกเผื่ออีก 20–30% – อันนี้คือกฎเหล็กเลยครับ เพราะชีวิตจริงมันไม่แน่นอน วันดีคืนดีมีคนเอากาต้มน้ำหรือสว่านมาเสียบเพิ่ม ถ้าเลือกเครื่องพอดีเกินไป งานสะดุดแน่นอน
- เลือกเครื่องให้เหมาะกับงาน – ถ้าเน้นใช้กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อย่างคอมพิวเตอร์ ทีวี แนะนำ เครื่องปั่นไฟ Inverter เพราะไฟนิ่ง ปลอดภัย แต่ถ้าเน้นใช้กับเครื่องมือช่างหนัก ๆ แบบสว่าน เครื่องเชื่อม ใช้เครื่องปั่นไฟทั่วไปก็คุ้มกว่า
- อย่าลืมเรื่องการดูแล – ไม่ว่าซื้อ เครื่องปั่นไฟ เล็กหรือใหญ่ ถ้าไม่บำรุงรักษา น้ำมันไม่เช็ก น้ำมันเครื่องไม่เปลี่ยน มันก็พังง่ายเหมือนกันครับ ซื้อดีแค่ไหนถ้าไม่ดูแลก็จบ
การเลือกซื้อ เครื่องปั่นไฟ ไม่ใช่แค่ดูราคา หรือเลือกยี่ห้อที่ชอบ แต่ต้องเริ่มจากการ คำนวณโหลด ให้ถูกต้องก่อนเสมอ โหลดคือหัวใจหลักที่จะบอกว่า เราต้องซื้อ เครื่องปั่นไฟ กี่วัตต์ กี่กิโลวัตต์ และควรเลือกแบบไหน? ถึงจะคุ้มค่าและใช้งานได้จริง
เพราะสุดท้ายแล้ว เครื่องปั่นไฟ ที่พอดี จะช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น ไม่ต้องมานั่งกังวลว่าเครื่องจะดับกลางคัน หรือไฟไม่พอใช้ และเชื่อผมเถอะครับว่า การเผื่อขนาดนิดหน่อย ดีกว่าการต้องวิ่งไปหาซื้อใหม่ตอนใช้งานจริง!
เลือก เครื่องปั่นไฟ เพิ่มเติม