Customers Also Purchased
เวลาที่เราเห็นช่างตามอู่ หรือศูนย์บริการ ใช้ บล็อกลม คลายน็อตล้อรถแบบสบาย ๆ เสียงดัง แกร่ก ๆ และ ปั๊มทำงานปั้งเดียว ก็ออก มันดูง่ายมาก ๆ เลยใช่ไหมครับ? ง่ายจนอยากซื้อมาใช้เองบ้าง แต่ความจริงแล้ว การจะซื้อบล็อกลม มาใช้ อาจมีหลายปัจจัยที่ต้องคำนึงถึง ทั้งเรื่องของแรงบิดที่บล็อกลมสามารถทำได้ ลักษณะงานที่ต้องเจอ ความถี่ในการใช้งาน และความทนทานของเครื่องมือในระยะยาว
และ หนึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ คุณมีปั๊มลม หรือคอมเพรสเซอร์ที่ขนาดเหมาะสมต่อการใช้งานร่วมกับบล็อกลมหรือยัง? เพราะแน่นอนว่า ถ้าขนาดเล็กเกินไป การใช้งานจริงก็อาจไม่ราบรื่น บล็อกลมไม่สามารถสร้างแรงบิดได้เต็มกำลัง ต้องคอยหยุดรอให้อัดลมใหม่ ทำให้งานสะดุด และเสียเวลา แล้วในบางกรณีอาจทำให้อุปกรณ์สึกหรอเร็วขึ้นได้เลย
ดังนั้นการเลือกซื้อบล็อกลมจึงไม่ใช่แค่ดูราคา หรือแรงบิดอย่างเดียว แต่ต้องมองไปพร้อมกันครับว่าเรามีปั๊มลมที่เข้ากันหรือไม่ เพื่อให้การลงทุนคุ้มค่า และการใช้งานราบรื่นที่สุด
ในบทความนี้ผมจะพามา ตอบคำถามสำคัญว่า จะใช้บล็อกลมให้ดี ตรงตามสเปกที่กำหนด จะต้องใช้ปั๊มลมขนาดเท่าไหร่ ถึงจะพอดี และเหมาะสม แล้วมาเจาะลึกให้เห็นภาพกันครับ ว่าขนาดถังลมส่งผลกับการใช้งานบล็อกลมยังไง และถ้าคุณเลือกปั๊มลมเล็กเกินไปจะเจออะไรบ้าง
บล็อกลม ทำงานยังไง?
เจาะลึกเรื่อง บล็อกลม: คืออะไร? มีประโยชน์แค่ไหนกับงานของคุณ? ก่อนจะไปดูเรื่องอื่น ๆ เรามาทำความเข้าใจกันสักนิดครับ ว่า บล็อกลม จริง ๆ แล้วคือเครื่องมือที่ใช้แรงดันลมในการหมุนกลไกโรเตอร์ภายใน จากนั้นเปลี่ยนเป็นแรงบิดมหาศาล ในการขัน หรือคลายน็อต จุดเด่นของบล็อกลมคือ มันให้ แรงเยอะ ตอบสนองไว ถ้า เทียบชัด ๆ ว่า ทำไม บล็อกลม ยังแพร่หลายในยุคของเครื่องมือไฟฟ้า บล็อกลมไม่ต้องรอรอบมอเตอร์ขึ้นถึงกำลังสูงสุด แค่มีลมเข้ามาต่อเนื่องก็พร้อมส่งกำลังได้ทันที ความเร็วในการทำงานจึงมากกว่า และต่อเนื่องกว่า และที่สำคัญ มอเตอร์ไม่ร้อนครับ เพียงแต่ว่า ต้องอาศัย ปั๊มลมที่จ่ายลมได้ต่อเนื่อง และมีปริมาณ เพียงพอ
ทำไม บล็อกลม ถึงต้องเน้นปริมาณลมด้วย?
- บล็อกลมกินลมเยอะมาก หน่วยวัดหลักคือ CFM (ลูกบาศก์ฟุตต่อนาที) หรือบางครั้งผู้ผลิตอาจระบุเป็น L/min (ลิตรต่อนาที) เพื่อให้เข้าใจง่าย โดยทั่วไป 1 CFM จะเท่ากับประมาณ 28.3 L/min
- ถ้าลมไม่พอ บล็อกลม ก็อาจให้แรงบิดก็ไม่ถึงตามที่ระบุไว้
- ถ้าใช้บล็อกลม คลายน็อตที่แน่นจัด ๆ ก็อาจไม่ออกเลยถ้าปั๊มมีขนาดที่เล็กเกินไป
ปั๊มลม คือหัวใจของ บล็อกลม?
ลองนึกภาพการทำงานในอู่ซ่อมรถที่ต้องถอดน็อตล้อสิบ ๆ ตัวต่อเนื่อง ถ้าปั๊มเล็กเกินไป คุณจะได้ยินเสียงเครื่องอัดลมทำงานตลอดเวลา แต่แรงลมที่ออกมาก็ยังไม่พอให้บล็อกลมหมุนแรงอย่างที่ควร สุดท้ายงานที่ควรจบในไม่กี่นาทีก็อาจกลายเป็นชั่วโมง
และสิ่งที่ควรเข้าใจเมื่อพูดถึงคำว่า “ปั๊มลมคือหัวใจ” คือมันไม่ใช่แค่เครื่องช่วยอัดลม แต่เป็นตัวกำหนดประสิทธิภาพของเครื่องมือทั้งหมด:
- ถ้าแรงพอ งานก็ลื่นไหล และเสร็จเร็ว
- ถ้าเล็กไป งานสะดุด ต้องหยุดรอ
- ถ้าถังใหญ่ และจ่ายลมต่อเนื่อง บล็อกลม ก็ทำงานได้เต็มกำลัง
- ถ้าไม่สม่ำเสมอ บล็อกลม ก็เสียหายได้เร็ว
ดังนั้น การเลือกปั๊ม หรือคอมเพรชเซอร์ให้ถูกขนาดจึงไม่ใช่เรื่องรอง แต่คือการเลือก ”หัวใจ” ที่แข็งแรงให้เครื่องมือลมทั้งหมดของคุณครับ
แล้ว บล็อกลม ต้องใช้ปั๊มลมขนาดเท่าไหร่?
นี่แหละครับคือคำถามหลัก ที่มาถึงตรงนี้ ผมเชื่อว่าทุกคนอยากรู้ และเป็นคำถามที่ช่างหลายคนยังถกเถียงกันอยู่เสมอ ความจริงแล้วไม่มีคำตอบตายตัวเป๊ะ ๆ เพราะต้องพิจารณาหลายปัจจัย ตั้งแต่ขนาดของบล็อกลม ที่ใช้บ่อยที่สุดในงานนั้น ๆ หรือ ลักษณะงานที่ต้องรับภาระหนักเบาแตกต่างกันไป บางครั้งงานถอดน็อตล้อรถยนต์ทั่วไปอาจใช้ปั๊มลมขนาดกลางก็พอ แต่ถ้าเป็นงานอุตสาหกรรม รถบรรทุกใหญ่ หรือทำงานต่อเนื่องหลายชั่วโมง ปั๊มลมขนาดเล็กก็เอาไม่อยู่แน่นอนครับ
เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ผมจะสรุปเป็นแนวทางง่าย ๆ แบ่งตามขนาดบล็อกลม และการใช้งาน
บล็อกลม 1/2 นิ้ว งานซ่อมรถทั่วไป
- อาจต้องการลมประมาณ 5–6 CFM
- ใช้กับปั๊มลมถัง 50–100 ลิตร กำลังมอเตอร์ 2–3 แรงม้า
- เหมาะสำหรับอู่เล็ก ๆ อู่มอเตอร์ไซค์ หรือช่างทำเองที่บ้าน
บล็อกลม 3/4 นิ้ว งานหนักขึ้น
- ต้องการลมประมาณ 7–9 CFM
- ใช้กับปั๊มลมถัง 150 ลิตรขึ้นไป
- เหมาะกับ อู่รถยนต์ งานรถกระบะ รถบรรทุกเล็ก
บล็อกลม 1 นิ้ว งานอุตสาหกรรม รถบรรทุกใหญ่
- ต้องการลมเกิน 10 CFM
- ปั๊มลมถัง 200 ลิตรขึ้นไป มอเตอร์ 5 แรงม้า
- เหมาะกับอู่ใหญ่ หรือโรงงาน
ปริมาณลม (CFM) สำคัญกว่าแรงดัน (PSI) ไหม?
ตัวอย่างง่าย ๆ
ปั๊มลมเล็ก 24 ลิตร อัดได้ลม 115 PSI แต่จ่ายลมต่อเนื่องได้แค่ 2–3 CFM บล็อกลมต้องการ 6 CFM หมายความว่าลมหมดถังในไม่กี่วินาที จากนั้นก็อืด นี่คือเหตุผลว่าทำไมต้องมองหา CFM ก่อนเสมอครับ
คำถามคือ ควรเลือกขนาดกี่ลิตรถึงจะเหมาะ?
คำตอบไม่ได้อยู่ที่ขนาดถังอย่างเดียว แต่ต้องดูว่าปั๊มลมนั้นจ่ายลมต่อเนื่องได้เท่าไหร่ สมมติว่าบล็อกลมรุ่นหนึ่งระบุว่าต้องใช้ลม 5.5 CFM หรือประมาณ 156 L/min ถ้าปั๊มลม 100 ลิตรที่มอเตอร์กำลังเพียงพอสามารถจ่ายได้ 6–7 CFM ต่อเนื่อง ก็ถือว่าใช้งานได้ แต่ถ้าจะให้ทำงานลื่นขึ้น ไม่ต้องรอถังอัดบ่อย ๆ การเลือกปั๊มลมขนาด 150 ลิตรขึ้นไปก็จะดีกว่า ดังนั้นไม่จำเป็นว่าต้อง 150 ลิตรเสมอไป ขึ้นอยู่กับ CFM ที่ปั๊มลมจ่ายจริง และรูปแบบงานที่ะใช้ครับ
- เลือกที่จ่าย CFM ได้มากกว่าที่บล็อกลมต้องการสัก 20–30%
- ดูขนาดถังประกอบ ถังใหญ่ช่วยให้ทำงานต่อเนื่อง ไม่ต้องรออัดลมบ่อย
- เลือกแบบ สายพานสำหรับงานหนัก จะทนกว่าแบบไม่ใช้น้ำมัน หรือ ปั๊มขับตรง
- ถ้างานประจำคือคลายน็อตล้อรถยนต์ทั่วไป ไม่ใช่งานใหญ่หรือหนัก เลือก ปั๊มลม 100 ลิตร คือจบได้สบาย ๆ
ถ้าเลือกขนาดเล็กเกินไป จะเกิดอะไรขึ้น?
การเลือกขนาดถัง คอมเพรสเซอร์ ที่ไม่เหมาะสมอาจมีผลโดยตรงต่อการทำงานของบล็อกลม และประสบการณ์การใช้งานโดยรวม เพราะงั้น การเข้าใจผลลัพธ์ที่จะตามมาก็จะช่วยให้คุณวางแผนเลือกได้ถูกต้องตั้งแต่ครั้งแรก ไม่เสียเวลา และเสียเงินซ้ำซ้อน มาดูกันครับว่า ปั๊มเล็กเกินไป จะส่งผลเสียกับบล็อกลมยังไงบ้าง
1. งานเสียเวลา
ใช้บล็อกลม กดไกได้ไม่นานก็ต้องรอให้เครื่องอัดลมใหม่ ทำงานไม่ต่อเนื่อง กลายเป็นว่า การทำงานที่ควรเสร็จรวดเร็วต้องหยุดชะงักอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะงานที่ต้องถอดน็อตหลายตัวติดต่อกัน หรือใช้บล็อกลมต่อเนื่อง ความล่าช้านี้ไม่เพียงแค่ทำให้เหนื่อยใจ แต่ยังส่งผลให้กระบวนการทำงานทั้งหมดเสียจังหวะได้
2. เครื่องสึกหรอง่าย
ปั๊มลมทำงานหนักเกินตลอดเวลาเพราะต้องพยายามอัดลมให้ทันการใช้งานที่มากกว่าศักยภาพของมัน ส่งผลให้เครื่องเกิดความร้อนสูง เกิดการสึกหรอของลูกสูบ แหวน หรือวาล์วต่าง ๆ เร็วกว่าที่ควรจะเป็น และบางครั้งอาจต้องเสียค่าซ่อมบำรุงเพิ่มด้วย
3. บล็อกลม เสียหาย
แรงลมไม่เสถียร ทำให้การหมุนระบบ ภายในของบล็อกลมไม่ราบรื่น เกิดการสั่นสะเทือนผิดปกติ จนชิ้นส่วนภายในสึกหรอไวมากขึ้น บางกรณีอาจทำให้แรงบิดที่ได้ไม่คงที่ คลายน็อตไม่ออก หรือขันไม่แน่นตามมาตรฐานที่ต้องการ
4. ค่าใช้จ่ายอาจบานปลาย
สุดท้ายอาจจำเป็นต้องซื้อปั๊มลมใหม่ที่มีขนาดใหญ่กว่า และยังอาจรวมถึงค่าใช้จ่ายแฝงอื่น ๆ เช่น ค่าไฟที่สูงขึ้นเพราะเครื่องต้องทำงานถี่ขึ้น ค่าซ่อมบำรุงบล็อกลมที่เสียหายจากแรงลมที่ไม่สม่ำเสมอ หรือ เวลาที่เสียไปจากการทำงานล่าช้า
แล้วมือใหม่ ควรเริ่มยังไง?
ถ้าคุณเพิ่งเริ่มต้น ผมแนะนำว่าให้ดู “งานหลักที่ใช้จริง” ก่อนครับ ไม่จำเป็นต้องรีบซื้อปั๊มลมถังใหญ่ 200 ลิตรมาเก็บไว้โดยที่ยังไม่รู้ว่าจะได้ใช้งานจริงแค่ไหน ถ้าคุณทำ DIY และการใช้งานของคุณ คือการถอดน็อตล้อรถที่บ้าน ไม่ได้เปิดอู่ ปั๊มขนาดกลาง 50–100 ลิตรถือว่าเพียงพอ และคุ้มค่าแล้ว เพราะสามารถรองรับการใช้งานทั่วไปได้สบาย ไม่เปลืองพื้นที่จัดเก็บ และยังประหยัดค่าไฟมากกว่า
แต่ถ้าคุณมีแผนจะทำงานต่อเนื่อง เช่น เปิดอู่เล็ก ๆ ที่ต้องคลายน็อตบ่อย ๆ ในแต่ละวัน หรือใช้งานร่วมกับเครื่องมือลมหลายชนิดพร้อมกัน ปั๊มลมเล็กอาจไม่ตอบโจทย์เท่าไหร่นะครับ ควรทุนกับปั๊มลมถังใหญ่ 150–200 ลิตรขึ้นไปเลยจะดีกว่า ถึงจะใช้เงินมากขึ้นในตอนแรก มันก็จะช่วยประหยัดเวลา ลดการรอ และยืดอายุการใช้งาน ของเครื่องมือทั้งหมดในระยะยาว
พูดง่าย ๆ คือ มือใหม่ควรเริ่มจากการประเมินลักษณะงานจริงของตัวเองก่อน ถ้าใช้น้อยก็เลือกขนาดกลาง แต่ถ้าใช้งานถี่ และต่อเนื่อง การลงทุนกับปั๊มลมใหญ่ ๆ หน่อย ย่อมคุ้มค่าที่สุดครับ
สรุป
ทุกครั้งที่ผมหยิบบล็อกลมขึ้นมาต่อสายเข้ากับคอมเพรสเซอร์ ผมจะนึกถึงคำว่า “ของคู่กัน” เสมอ และขนาดปั๊มลมก็มีผลจริง ๆ ครับ ถ้าปั๊มลมเล็กเกินไป ต่อให้บล็อกลมดีแค่ไหนก็เท่ากับมีของโหดแต่ใช้ไม่เต็มประสิทธิภาพ แต่ถ้าเลือกปั๊มลมที่ขนาดเหมาะสม บล็อกลมก็จะทำงานได้อย่างทรงพลังจริง ๆ และไม่ทำให้เสียอารมณ์ระหว่างงาน
ดังนั้นก่อนซื้อบล็อกลมทุกครั้ง อย่าลืมถามตัวเองด้วยครับว่า “ปั๊มลมที่มีอยู่ รองรับได้ไหม?” ถ้าไม่ ก็ถึงเวลาวางแผนลงทุนในปั๊มลมที่ใช่ เพื่อให้งานของคุณลื่นไหลทุกครั้งที่กดไกบล็อกลม
ปั๊มลมที่เหมาะสม ไม่ใช่แค่ทำให้งานเสร็จไว แต่ยังทำให้ บล็อกลม เป็นของที่คุณจะหยิบมาใช้บ่อย ๆ ไปอีกนาน