Customers Also Purchased
เคยเป็นกันมั้ยคะ? …หยิบ เครื่องมือวัดไฟฟ้า ขึ้นมา เห็นหน้าปัดเต็มไปด้วยตัวอักษรกับสัญลักษณ์ประหลาด ๆ
- ตัว V บ้าง
- เส้นตรงกับเส้นหยัก ๆ บ้าง
- วงกลม ฟิวส์ แบตเตอรี่
ตอนแรก ๆ น้องช่างเองก็เคยงงค่ะ เหมือนกำลังเจอ สมการคณิตศาสตร์บนผนังห้องเรียน ที่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก่อน จนบางทีก็เผลอหมุนผิดช่อง ใช้ผิดโหมด ดีที่มัลติมิเตอร์รุ่นนั้นมีฟิวส์ในตัว ไม่งั้นคงพังไปแล้ว
แต่พอค่อย ๆ ศึกษา ถึงได้รู้ว่า…สัญลักษณ์พวกนี้มันคือ “ภาษากลางของงานไฟฟ้า” ค่ะ มันไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ยากหรือน่ากลัว แต่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้คนทั่วโลกใช้สื่อสารตรงกัน ไม่ว่าจะหยิบเครื่องมือจากญี่ปุ่น ยุโรป หรืออเมริกา ถ้าเข้าใจสัญลักษณ์แล้ว เราก็ใช้ได้หมด
ในบทความนี้ น้องช่างจะพาเพื่อน ๆ มาไล่ดู เครื่องมือวัดไฟฟ้า พื้นฐานแบบละเอียดยิบ อ่านแล้วไม่ต้องเดาอีกต่อไปว่า ช่องนี้ไว้ทำอะไร หรือสัญลักษณ์นี้หมายถึงอะไร เพราะเราจะถอดรหัสมันออกมาให้ง่ายที่สุดค่ะ
มัลติมิเตอร์ (Multimeter) ครูคนแรกของงานไฟฟ้า
พูดได้เลยว่าใครก็ตามที่ก้าวเข้าสู่งานไฟฟ้า เครื่องมือแรกที่ต้องเจอคือ มัลติมิเตอร์ มันเหมือนมีดพกสวิสประจำตัวช่าง ใช้ได้สารพัด ตั้งแต่วัดไฟบ้าน วัดถ่าน วัดสายไฟ เช็กอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เล็ก ๆ ไปจนถึงใช้ในงานซ่อมบำรุงจริงจัง
มัลติมิเตอร์มีทั้งแบบ เข็ม (Analog) และ ดิจิทัล (Digital) แต่ไม่ว่าจะรุ่นไหนก็จะเต็มไปด้วยสัญลักษณ์ที่มือใหม่เห็นแล้วงง วันนี้น้องช่างจะถอดรหัสให้ค่ะ
V – แรงดันไฟฟ้า (Voltage)
ตัว “V” บนหน้าปัดบอกว่าเรากำลังจะวัด “แรงดันไฟฟ้า” ค่ะ ให้จินตนาการว่าแรงดันเหมือน “แรงดันน้ำ” ที่ผลักให้น้ำไหลในท่อ
- V~ (AC Voltage) → มีคลื่นหยัก ๆ ต่อท้าย คือไฟบ้าน ไฟจากปลั๊ก เครื่องใช้ไฟฟ้า
- V⎓ (DC Voltage) → มีเส้นตรงกับขีดล่าง คือไฟจากถ่าน แบตเตอรี่ หรือวงจรอิเล็กทรอนิกส์
น้องช่างแนะ: จำง่าย ๆ ว่า “คลื่นหยัก = ไฟบ้าน, เส้นตรง = ถ่าน/แบต” มือใหม่ชอบสับสนอันนี้บ่อยมาก
A – กระแสไฟฟ้า (Ampere)
ถัดจากแรงดันก็คือ “กระแสไฟฟ้า” ตัว A หมายถึงปริมาณการไหลของอิเล็กตรอน
- A~ (AC Current) → กระแสสลับ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เสียบปลั๊ก
- A⎓ (DC Current) → กระแสตรง เช่น มอเตอร์แบตเตอรี่
ข้อควรระวัง: การวัดกระแสไม่เหมือนวัดแรงดันค่ะ ต้องต่ออนุกรมในวงจร ไม่ใช่แค่เอาโพรบไปแตะ ไม่งั้นเครื่องอาจช็อตทันที!
Ω – ความต้านทาน (Resistance)
สัญลักษณ์รูปโอห์ม ใช้วัดว่ากระแสไฟไหลผ่านยากหรือง่ายแค่ไหน
- ค่าต่ำ → กระแสไหลได้สบาย
- ค่าสูง → กระแสผ่านยาก อาจมีสายขาดใน
น้องช่างเล่า: น้องช่างเคยเจอสายไฟที่ข้างนอกยังดูดี แต่พอวัดแล้วขึ้นค่า “∞” (อินฟินิตี้) แสดงว่าสายขาดในไปเรียบร้อย
Continuity Test – โหมดเช็กสายไฟขาด
สัญลักษณ์ลำโพงเล็ก ๆ ถ้าใช้โหมดนี้แล้ววงจรยังสมบูรณ์ เครื่องจะส่งเสียง “ติ๊ดดด” ออกมา สบายใจได้แสดงว่าสายยังดี
Diode Test – ทดสอบไดโอด
สัญลักษณ์ลูกศรชี้ไปที่เส้นตั้ง ใช้เช็กไดโอดว่ากระแสไฟไหลทางเดียวได้จริงหรือไม่ เหมาะกับงานอิเล็กทรอนิกส์
Hz – ความถี่ (Frequency)
ถ้ามีสัญลักษณ์ Hz บนเครื่อง แสดงว่าวัดความถี่ได้ บ้านเราคือ 50 Hz ส่วนอเมริกา 60 Hz
Temperature – อุณหภูมิ
บางรุ่นมี °C หรือ °F ใช้วัดอุณหภูมิได้ด้วย เพียงเสียบหัวโพรบ (Thermocouple) เหมาะกับงานแอร์หรือเครื่องจักร
ขั้วต่อ (Terminal) ของมัลติมิเตอร์
สัญลักษณ์อย่างเดียวไม่พอ ต้องรู้จักช่องเสียบโพรบด้วยค่ะ
- COM (Common) → ช่องมาตรฐานของโพรบสีดำ ใช้เป็นจุดอ้างอิง
- V/Ω/mA → ช่องโพรบสีแดง ใช้วัดแรงดัน ความต้านทาน ความถี่ และกระแสเล็ก ๆ
- 10A หรือ 20A → ช่องโพรบสีแดงพิเศษ ใช้วัดกระแสสูงเท่านั้น
- ช่องพิเศษอื่น ๆ → TEMP (วัดอุณหภูมิ), CAP (วัดค่าคาปาซิแตนซ์), hFE (ทดสอบทรานซิสเตอร์)
น้องช่างแนะ: โพรบดำ = COM ตลอดกาล โพรบแดง = ย้ายตามงาน อย่าหยิบผิดเด็ดขาด
มัลติมิเตอร์คือครูสอนภาษาไฟฟ้าคนแรกของเรา สัญลักษณ์ V, A, Ω, Continuity, Diode คือคำศัพท์พื้นฐานที่ต้องจำ ส่วน COM, VΩmA, 10A ก็คือไวยากรณ์ที่ทำให้เราสื่อสารกับเครื่องถูกต้อง พอเข้าใจตรงนี้แล้ว เครื่องมืออื่น ๆ ที่ซับซ้อนกว่านี้ก็จะง่ายขึ้นอีกเยอะเลยค่ะ
แคลมป์มิเตอร์ (Clamp Meter) – หนีบสายทีเดียวก็รู้เรื่อง
ถ้ามัลติมิเตอร์คือ “ครูคนแรก” ของงานไฟฟ้า แคลมป์มิเตอร์ ก็คือ “ผู้ช่วยรุ่นพี่” ที่มาช่วยแก้ปัญหาใหญ่เรื่องการวัดกระแสค่ะ เพราะการวัดกระแสไฟฟ้าโดยตรงนั้นไม่เหมือนการวัดแรงดันหรือความต้านทานที่แค่แตะโพรบก็พอ แต่ต้องตัดต่อวงจรและต่ออนุกรมเข้าไป ซึ่งทั้งยุ่งยากและเสี่ยงอันตรายมาก
นั่นแหละค่ะที่ทำให้แคลมป์มิเตอร์ถูกออกแบบมา มันมี “ปากหนีบ” หรือ Clamp ขนาดใหญ่ที่สามารถครอบสายไฟไว้ได้ แล้วใช้หลักการเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้าวัดกระแสที่ไหลผ่าน แค่หนีบสายก็รู้ค่าแล้ว ไม่ต้องเสี่ยงเปิดวงจรเลย
สัญลักษณ์ที่พบในแคลมป์มิเตอร์
แม้หน้าปัดของแคลมป์มิเตอร์จะคล้ายมัลติมิเตอร์ แต่ก็มีสัญลักษณ์เฉพาะที่บอกว่า “ฉันวัดกระแสด้วยปากหนีบนะ”
สัญลักษณ์ปากหนีบ (Clamp Symbol)
บางรุ่นจะมีรูปปากคีบเล็ก ๆ หรือไอคอนวงกลมตัดครึ่งบนหน้าปัด บ่งบอกว่าเป็นโหมดวัดกระแสด้วย Clamp โดยตรง เวลาเลือกโหมดนี้ เราไม่ต้องต่อโพรบแดง-ดำเข้าไปที่สายไฟ แค่หนีบสายเดี่ยว ๆ ผ่านปาก Clamp เท่านั้น
AC / DC Current
บางรุ่นสามารถวัดได้ทั้งไฟบ้าน (AC) และไฟตรง (DC) โดยจะแสดงเป็น
- A~ → กระแสไฟฟ้ากระแสสลับ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า
- A⎓ → กระแสไฟฟ้ากระแสตรง เช่น ระบบโซลาร์เซลล์ แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า
รุ่นเก่า ๆ อาจวัดได้เฉพาะ AC แต่รุ่นใหม่จะมีทั้ง AC/DC เพื่อให้ใช้งานได้ครอบคลุมมากขึ้น
Inrush Current
บางเครื่องจะมีโหมด “Inrush” พร้อมสัญลักษณ์คลื่นหรือคำว่า Inrush โดยตรง ใช้สำหรับวัดกระแสกระชากที่เกิดขึ้นช่วงเสี้ยววินาทีแรกที่อุปกรณ์ทำงาน เช่น มอเตอร์ ปั๊มน้ำ หรือแอร์บ้านที่เพิ่งสตาร์ท เครื่องจะดึงกระแสสูงมากชั่วคราว แล้วค่อยลดลงสู่ค่าปกติ
น้องช่างแนะ: การรู้ค่ากระแสกระชากช่วยให้เราประเมินได้ว่าเบรกเกอร์หรือลูกย่อยที่เลือกไว้นั้นทนได้จริงหรือไม่
True RMS
สัญลักษณ์ True RMS หรือ RMS ที่วงเล็บด้วยเส้นโค้ง หมายถึงเครื่องสามารถวัดค่ากระแส/แรงดันได้แม่นยำแม้รูปคลื่นไม่ใช่ไซน์เวฟสมบูรณ์ (เช่นโหลดที่มีอิเล็กทรอนิกส์เยอะ ๆ) รุ่นที่ไม่มีฟังก์ชันนี้จะให้ค่าที่คลาดเคลื่อน
MAX / MIN / HOLD
ฟังก์ชันเก็บค่ามากที่สุด น้อยที่สุด หรือค้างค่าให้อ่าน เหมาะกับเวลาวัดในพื้นที่แคบ ๆ หรือค่ากระแสแกว่งไปมา
ขั้วต่อ (Terminal) ของแคลมป์มิเตอร์
แม้จุดเด่นของแคลมป์มิเตอร์คือปากหนีบ แต่ก็ยังมีโพรบให้ใช้งานเหมือนมัลติมิเตอร์ค่ะ
- COM (ดำ) → ช่องมาตรฐานสำหรับโพรบสีดำ
- V/Ω → ช่องโพรบสีแดง ใช้วัดแรงดัน ความต้านทาน ความถี่
- mA หรือ A Input → บางรุ่นมีช่องสำหรับวัดกระแสเล็ก ๆ ด้วยโพรบ (ถ้าไม่อยากใช้ Clamp)
น้องช่างแนะ: เวลาจะวัดกระแสด้วย Clamp ต้องหนีบสายเดี่ยว ๆ เท่านั้นนะคะ ถ้าหนีบพร้อมกันทั้งสองเส้น (L และ N) ค่ากระแสจะหักล้างกันจนอ่านออกเป็นศูนย์
แคลมป์มิเตอร์จึงเป็นเหมือนเพื่อนคู่ใจของช่างไฟที่ต้องเจอกระแสสูง ๆ เพราะช่วยให้วัดค่าได้ปลอดภัย รวดเร็ว และสะดวกมากขึ้น สัญลักษณ์ที่ต้องจำก็ไม่ซับซ้อน ส่วนใหญ่คือโหมดวัดกระแสด้วย Clamp, AC/DC, Inrush และฟังก์ชันเสริมอย่าง True RMS หรือ Hold ที่ช่วยให้งานง่ายขึ้น
น้องช่างฝากไว้: ถ้าใครอยากก้าวจากการเป็นผู้ใช้มัลติมิเตอร์พื้นฐานไปสู่การตรวจระบบไฟฟ้าที่จริงจังขึ้น ลองหัดใช้แคลมป์มิเตอร์ดูค่ะ คุณจะรู้สึกเลยว่าการวัดกระแสไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไป
เครื่องตรวจลำดับเฟส (Phase Sequence Tester) – รู้ทิศหมุนก่อนมอเตอร์ไหม้
ในงานระบบไฟฟ้า 3 เฟส สิ่งที่อันตรายที่สุดอย่างหนึ่งคือ การต่อเฟสผิดลำดับ ค่ะ เพราะไฟฟ้า 3 เฟสจะมีสาย R, S, T ถ้าเราต่อสลับกัน มอเตอร์ที่ควรหมุนตามเข็มนาฬิกาอาจหมุนกลับทางได้ ผลที่ตามมาไม่ใช่แค่เสียงดังหรือเครื่องไม่ทำงานนะคะ แต่มันอาจทำให้ใบพัดปั๊มหัก สายพานฉีก หรือระบบทั้งชุดเสียหายหนัก
นี่แหละค่ะที่ทำให้ เครื่องตรวจลำดับเฟส หรือ Phase Sequence Tester เป็นเหมือน “ผู้พิทักษ์ทิศทาง” ที่ขาดไม่ได้ในงานติดตั้งไฟฟ้าอุตสาหกรรม
สัญลักษณ์ที่พบบนเครื่องตรวจลำดับเฟส
R, S, T
นี่คือสามเฟสหลักของระบบไฟฟ้า 3 เฟส มักเขียนกำกับไว้อย่างชัดเจนเพื่อให้ผู้ใช้นำสายไฟมาต่อให้ถูกต้อง หากเสียบผิด ช่องแสดงผลก็จะบอกว่าลำดับเฟสกลับกัน
ลูกศร CW / CCW
บางรุ่นมีสัญลักษณ์ลูกศรหมุนตามเข็ม (CW – Clockwise) และทวนเข็ม (CCW – Counterclockwise) เพื่อแสดงผลว่าลำดับเฟสที่ต่ออยู่ทำให้มอเตอร์หมุนทิศไหน นี่แหละคือคำตอบสำคัญ ถ้าเครื่องบอกว่า CCW แต่เราต้องการ CW → แปลว่าต้องสลับสาย
Phase Indicator
เป็นสัญลักษณ์ไฟ LED หรือจอแสดงผลที่ขึ้นว่าลำดับเฟส “ถูกต้อง” (Correct) หรือ “กลับเฟส” (Reverse) บางรุ่นจะขึ้นไฟสีเขียวกับสีแดงเพื่อให้เข้าใจง่าย
วิธีการทำงาน
เครื่องตรวจลำดับเฟสจะใช้หลักการตรวจจับความต่างเฟสระหว่างสาย R, S, T จากนั้นคำนวณว่าลำดับที่เข้ามานั้นหมุนไปทิศทางไหน เครื่องบางรุ่นอาจมีเสียงเตือนร่วมด้วย เพื่อช่วยให้ใช้งานสะดวกขึ้นในที่เสียงดัง
ขั้วต่อ (Terminal) ของ Phase Sequence Tester
เครื่องจะมีช่องเสียบหรือสายทดสอบ 3 เส้นที่ระบุ R, S, T ชัดเจน บางรุ่นเป็นหัวหนีบ (Alligator Clip) เพื่อให้จับสายแน่นขึ้น ขั้วต่อเหล่านี้มักออกแบบให้มีฉนวนหนาเพื่อลดความเสี่ยงไฟดูด เพราะงานนี้ต้องทำกับไฟจริง ๆ
เครื่องตรวจลำดับเฟสอาจดูเหมือนอุปกรณ์เล็ก ๆ แต่จริง ๆ แล้วมันคือ ประกันความปลอดภัยของมอเตอร์ราคาแพง ทุกตัว การใช้ให้เป็น และอ่านสัญลักษณ์ R, S, T กับลูกศร CW/CCW ให้เข้าใจ จะช่วยให้งานติดตั้งและซ่อมบำรุงมั่นใจขึ้นหลายเท่าค่ะ
น้องช่างฝากไว้: อย่าคิดว่า “ต่อยังไงก็หมุน” นะคะ เพราะถ้าหมุนผิดทาง ผลลัพธ์ไม่ใช่แค่ของไม่ทำงาน แต่คือความเสียหายที่อาจแก้ไม่ทันเลยทีเดียว
เครื่องวัดความเป็นฉนวน (Insulation Tester / Megger) – ตรวจสุขภาพสายไฟ
ถ้าเปรียบสายไฟเป็นเส้นเลือดของระบบไฟฟ้า “ฉนวน” ก็คือผิวหนังที่ห่อหุ้มไว้เพื่อกันไฟรั่วออกมา เวลาฉนวนเสื่อมก็เหมือนผิวหนังที่แตกหรือเป็นแผล เลือดไหลซึมออกมา → ไฟก็รั่วออกไปเหมือนกันค่ะ
หลายครั้งไฟรั่วไม่ได้แสดงออกทันที แต่ค่อย ๆ ทำให้ระบบทำงานผิดปกติ เกิดการสูญเสียพลังงาน หรืออันตรายยิ่งกว่านั้นคือช็อตจนเกิดเพลิงไหม้ เครื่องวัดความเป็นฉนวน หรือที่เรามักเรียกติดปากว่า “เมกเกอร์ (Megger)” จึงถูกใช้เป็นเหมือนการตรวจสุขภาพสายไฟ ว่าฉนวนยังแข็งแรงหรือเริ่มมีปัญหาแล้ว
หลักการทำงาน
เมกเกอร์จะปล่อยแรงดันไฟฟ้าสูง (เช่น 500V, 1000V หรือมากกว่า) เข้าไปในสายไฟหรืออุปกรณ์ แล้วตรวจดูว่ากระแสไฟรั่วออกไปมากน้อยแค่ไหน ถ้าฉนวนยังดี กระแสที่รั่วออกมาจะน้อยมาก ค่าความต้านทานที่วัดได้จะสูงมากเป็นหน่วยเมกโอห์ม (MΩ) แต่ถ้าฉนวนเสื่อม ค่า MΩ จะตกลงทันที
น้องช่างเล่า: น้องช่างเคยวัดมอเตอร์เก่าที่เจอว่าค่าฉนวนเหลือไม่ถึง 1 MΩ ทั้งที่ปกติควรเกิน 100 MΩ ขึ้นไป พอเปิดฝาออกมาก็เจอว่ามีรอยชื้นในขดลวด ถ้าไม่ได้ตรวจล่วงหน้า มอเตอร์ตัวนั้นอาจช็อตและไหม้ได้ทุกเมื่อ
สัญลักษณ์ที่พบบนเครื่องวัดความเป็นฉนวน
MΩ (Megaohm)
หน่วยเมกโอห์ม ใช้แสดงค่าความต้านทานที่สูงมาก เป็นตัวเลขหลักล้านโอห์มขึ้นไป
High Voltage
เครื่องหมายสายฟ้าผ่า บอกว่าการทดสอบนี้ใช้แรงดันสูงมาก ผู้ใช้ต้องระวังเป็นพิเศษ อย่าเผลอแตะสายขณะเครื่องกำลังทำงาน
Earth / Ground
สัญลักษณ์สายดิน แสดงตำแหน่งที่ต้องต่อกราวด์ เพื่ออ้างอิงการวัดหรือเพื่อความปลอดภัย
ขั้วต่อ (Terminal) ของเมกเกอร์
โดยทั่วไปจะมี 3 ขั้วหลักค่ะ
- LINE (L) → ต่อกับสายที่ต้องการทดสอบ
- EARTH (E) → ต่อกับสายดินหรือส่วนโครงโลหะ
- GUARD (G) → ใช้ในงานวัดที่ละเอียดมาก เพื่อตัดกระแสรั่วที่ไม่เกี่ยวข้องออก
เครื่องรุ่นเล็กอาจมีแค่ 2 ขั้ว (L และ E) แต่รุ่นใหญ่จะมีครบทั้ง 3
เครื่องวัดฉนวน หรือเมกเกอร์ คือ “คุณหมอประจำสายไฟ” ที่ทำให้เรารู้ล่วงหน้าว่าสายหรืออุปกรณ์ยังแข็งแรงหรือเริ่มมีปัญหาแล้ว สัญลักษณ์หลัก ๆ ที่ต้องจำคือ MΩ, High Voltage และ Earth ขั้วต่อก็ต้องเลือกให้ถูก ไม่งั้นผลที่ได้จะไม่แม่นยำ
น้องช่างฝากไว้: อย่าคิดว่าฉนวนสายไฟจะอยู่กับเราไปตลอด เพราะความจริงมันเสื่อมตามเวลา การตรวจเช็กด้วยเมกเกอร์เป็นเหมือนการตรวจสุขภาพประจำปีค่ะ รู้ก่อนก็แก้ได้ก่อน ปลอดภัยกว่ามาก!
เคล็ดลับสรุปท้าย เทคนิคจำง่าย ๆ + การเลือกเครื่องมือให้เหมาะกับงาน
พออ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจยังรู้สึกว่า “เยอะจัง จะจำหมดได้ยังไง?” ไม่ต้องกังวลไปค่ะ น้องช่างเองก็เคยอยู่จุดเดียวกัน เลยอยากฝาก เทคนิคจำแบบง่าย ๆ เอาไว้ เผื่อจะช่วยให้การใช้งานมั่นใจมากขึ้น
เทคนิคจำสัญลักษณ์ไฟฟ้าให้ง่ายขึ้น
- คลื่นหยัก ~ = ไฟบ้าน (AC)
เห็นคลื่นหยักเมื่อไร ให้นึกถึงปลั๊กที่บ้านทันที
- เส้นตรง ⎓ = แบตเตอรี่ (DC)
เส้นตรงเรียบเหมือนพลังงานนิ่ง ๆ จากถ่าน
- Ω = ความต้านทาน
คิดง่าย ๆ ว่า “โอห์ม = อ้อม” กระแสไฟจะไหลอ้อม ๆ ช้าลง
- ลำโพง = เช็กสายไฟขาด
ถ้าวงจรต่อถึง จะมีเสียง “ติ๊ด” เหมือนกดกริ่งบ้าน
- ไดโอด ▶|— = ทางเดียว
ลูกศรชี้ไปทางเดียว ก็คือไฟไหลทางเดียวเท่านั้น
- CAT II/III/IV = ระดับความปลอดภัย
CAT เหมือนบัตรผ่านเขต ยิ่งเลขสูง ยิ่งเข้าได้ลึกในพื้นที่เสี่ยง
- โพรบดำ = COM เสมอ
ไม่ต้องคิดมาก สีดำเสียบที่ COM ตลอดกาล
วิธีเลือกเครื่องมือให้เหมาะกับงาน
- งานบ้านทั่วไป → มัลติมิเตอร์ดิจิทัลเล็ก ๆ พอแล้ว ใช้เช็กปลั๊ก ถ่าน สายไฟง่าย ๆ
- งานซ่อมไฟฟ้ากระแสสูง / โรงงานเล็ก ๆ → ต้องมีแคลมป์มิเตอร์ เพราะวัดกระแสได้โดยไม่ต้องตัดวงจร
- งานระบบไฟ 3 เฟส / มอเตอร์ → พกเครื่องตรวจลำดับเฟสไว้เลย ป้องกันไม่ให้มอเตอร์หมุนกลับทางจนเครื่องพัง
- งานบำรุงรักษาสายไฟ / เครื่องจักร → ต้องใช้เมกเกอร์ ตรวจสุขภาพฉนวนก่อนเกิดไฟรั่วหรือไฟช็อต
น้องช่างแนะ: เวลาจะซื้อเครื่องมือ อย่าดูแต่ราคา ให้ถามตัวเองก่อนว่า “ฉันจะใช้กับงานแบบไหน?” เพราะเครื่องมือที่เหมาะกับงานจะทำให้ปลอดภัยขึ้น ประหยัดเวลา และลดโอกาสพังโดยใช่เหตุค่ะ
สรุปส่งท้าย
สัญลักษณ์และขั้วต่อบน เครื่องมือวัดไฟฟ้า อาจดูเยอะและชวนงงในตอนแรก แต่จริง ๆ มันคือ ภาษากลางของโลกไฟฟ้า ที่ถ้าเราเรียนรู้เพียงครั้งเดียวก็จะใช้ได้กับเครื่องมือทุกประเทศ ทุกยี่ห้อ
น้องช่างฝากไว้: งานไฟฟ้าไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ถ้าเราเข้าใจภาษาและกติกาของมัน แค่จำให้ถูก ใช้ให้เป็น ก็ทั้งปลอดภัยและสนุกขึ้นอีกเยอะเลยค่ะ