How-to เลือก โอเวอร์โหลดรีเลย์ (Overload Relay) ให้ตรงงาน

Customers Also Purchased

เคยมั้ยคะ? อยู่ ๆ ปั๊มน้ำที่บ้านก็หยุดทำงานดื้อ ๆ หรือเครื่องซักผ้ากำลังหมุน ๆ อยู่ก็สะดุดจนต้องโทรหาช่าง พอช่างมาเช็กก็บอกว่า “มอเตอร์ไหม้” ฟังแล้วปวดใจเลยใช่มั้ยคะ เพราะค่าเปลี่ยนทีนึงไม่ใช่ถูก ๆ ไหนจะเสียเวลา ไหนจะความไม่สะดวกอีกหลายวัน จริง ๆ แล้วเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเพราะมอเตอร์ต้องทำงานเกินกำลัง หรือที่เรียกกันว่า โอเวอร์โหลด (Overload)

ปัญหามอเตอร์ไหม้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เลยค่ะ ถ้าเป็นเครื่องใช้ในบ้านก็ยังพอเปลี่ยนได้ แต่ถ้าเป็นเครื่องในร้าน หรือมอเตอร์ใหญ่ ๆ ในโรงงาน บอกเลยว่าความเสียหายอาจแตะหลักหมื่น หลักแสน หรือมากกว่านั้นเลยทีเดียว โชคดีที่มีอุปกรณ์เล็ก ๆ ตัวหนึ่งที่คอยปกป้องเครื่องจากปัญหานี้ได้ นั่นก็คือ โอเวอร์โหลดรีเลย์ (Overload Relay)

โอเวอร์โหลดรีเลย์ เป็นเหมือนผู้ช่วยตัวเล็กที่เฝ้าดูว่ามอเตอร์ทำงานหนักเกินไปหรือยัง ถ้าเกิน มันจะสั่งให้ระบบหยุดทำงานก่อนที่จะพังจริง ๆ แต่การเลือกซื้อก็ไม่ใช่ว่าหยิบอะไรก็ได้ เลือกผิดอาจกลายเป็นปัญหาใหญ่กว่าเดิม วันนี้น้องช่างเลยจะมาพาไล่ทีละขั้นแบบ How-to เลือกโอเวอร์โหลดรีเลย์ให้ถูกต้อง อ่านง่าย เข้าใจชัด และที่สำคัญเอาไปใช้ได้จริงค่ะ

Step 1: รู้จักมอเตอร์ของเราให้ดีก่อน

ก่อนจะไปเลือก โอเวอร์โหลด เราต้องรู้จักมอเตอร์ของเราก่อนค่ะ เพราะ โอเวอร์โหลด เกิดมาเพื่อปกป้องมอเตอร์โดยตรง ถ้าไม่รู้ว่ามอเตอร์กินไฟกี่แอมป์ เลือกยังไงก็พลาดง่าย ๆ

ลองไปดูที่ Nameplate หรือป้ายข้อมูลที่ติดอยู่บนมอเตอร์ค่ะ ตรงนั้นจะมีบอกไว้เลยว่ามอเตอร์ใช้แรงดันเท่าไร กินกระแสกี่แอมป์ มีกำลังเท่าไร ตัวเลขที่เราต้องโฟกัสคือ “กระแสไฟ (Ampere)” เช่น ปั๊มน้ำทั่วไปอาจอยู่ที่ 5A เครื่องซักผ้าอาจอยู่ที่ 12–15A ถ้าเป็นคอมเพรสเซอร์แอร์ก็ราว ๆ 20A ส่วนมอเตอร์โรงงานอาจพุ่งไปถึงหลักร้อยแอมป์เลย

ตรงนี้สำคัญมากนะคะ เพราะถ้าเราเลือกโอเวอร์โหลดที่เล็กเกินไป เวลามอเตอร์ทำงานปกติ มันก็อาจตัดบ่อยเกินจนรำคาญ แต่ถ้าเลือกใหญ่เกินไป พอมอเตอร์ทำงานหนักจริง ๆ มันอาจไม่ตัดเลย สุดท้ายก็ร้อนจัดจนไหม้ พังไปทั้งลูก เสียหายหนักกว่าเดิม

พูดง่าย ๆ การเลือกโอเวอร์โหลดก็เหมือนซื้อรองเท้า ต้องรู้ไซส์ตัวเองก่อน ถ้าหยิบสุ่ม ๆ โอกาสเจอคู่ที่ใส่ไม่ได้สูงมาก แต่ถ้ารู้พอดีตั้งแต่แรก การเลือกก็ง่ายเลยค่ะ

Step 2: เลือกช่วงกระแสให้ตรง

พอรู้แล้วว่ามอเตอร์กินไฟกี่แอมป์ ขั้นต่อไปก็คือการเลือก “ช่วงกระแส” ของโอเวอร์โหลดที่เหมาะสมค่ะ แต่ละรุ่นจะรองรับไม่เท่ากัน อย่างรุ่นที่เจอบ่อย ๆ อย่าง CHINT NXR ก็จะมีหลายขนาดให้เลือก

  • NXR-12: รองรับ 0.1–12A → เหมาะกับงานเล็ก ๆ เช่น ปั๊มน้ำ พัดลมอุตสาหกรรมเล็ก ๆ
  • NXR-25: รองรับ 0.1–25A → เหมาะกับงานกลาง ๆ เช่น เครื่องซักอบผ้า คอมเพรสเซอร์แอร์
  • NXR-100: รองรับ 30–100A → เหมาะกับมอเตอร์ใหญ่ในโรงงาน เช่น สายพาน เครื่องอัด

อย่าคิดว่าเลือกใหญ่ ๆ ไว้ก่อนจะดีกว่านะคะ สมมติว่ามอเตอร์กิน 10A ถ้าเลือก NXR-12 กำลังดี แต่ถ้าเลือก NXR-25 มันก็ยังทำงานได้ แต่เวลามีโหลดเกินจริง ๆ อาจไม่ตัดทันที มอเตอร์ก็ยังเสี่ยงพังอยู่ดี เหมือนเสื้อผ้าที่ใส่ใหญ่เกินตัวค่ะ ใส่ได้ก็จริง แต่ไม่พอดี ไม่สบาย และอาจทำให้เกะกะในการทำงาน

Howto เลือก โอเวอร์โหลดรีเลย์ Overload Relay ให้ตรงงาน

Step 3: เลือกชนิด Thermal หรือ Electronic

โอเวอร์โหลดไม่ได้มีแบบเดียวค่ะ หลัก ๆ จะแบ่งเป็น 2 ประเภท

  • Thermal Overload Relay: ใช้ความร้อนเป็นตัวตรวจจับ ถ้าไฟเกินจนแผ่นโลหะร้อนงอ ก็จะตัดวงจร ราคาย่อมเยา เหมาะกับงานบ้านหรือร้านเล็ก ๆ แต่ความแม่นยำยังไม่สูงนัก
  • Electronic Overload Relay: ใช้เซนเซอร์อิเล็กทรอนิกส์ ตรวจจับแม่นยำกว่า ปรับตั้งได้ละเอียด บางรุ่นมีฟังก์ชันเสริม เช่น ป้องกันไฟตก ไฟเฟสหาย เหมาะกับเครื่องจักรราคาแพงหรือโรงงานที่ต้องการความเสถียรสูง

คิดง่าย ๆ Thermal ก็เหมือนหม้อหุงข้าวไฟฟ้า ข้าวสุกแล้วก็ตัด ส่วน Electronic เหมือนสมาร์ทวอทช์ที่คอยวัดทุกอย่าง ทั้งหัวใจ ความดัน บอกได้ละเอียดและทันสมัยกว่า

Step 4: เลือกโหมดรีเซ็ต

โอเวอร์โหลดเวลาทำงาน มันไม่ได้ตัดแล้วกลับมาเองนะคะ ต้องมีการรีเซ็ต ซึ่งมี 2 แบบ

  • Manual Reset: ต้องมีคนไปกดเอง ปลอดภัยกว่า เพราะได้ตรวจเช็กก่อนเริ่มทำงานใหม่ทุกครั้ง
  • Auto Reset: ตัดแล้วพอมอเตอร์เย็นลงก็กลับมาทำงานเอง เหมาะกับงานที่ไม่สะดวกให้คนไปกด แต่ก็มีความเสี่ยงถ้าปัญหายังไม่ถูกแก้จริง ๆ

ถ้าเปรียบเทียบกับชีวิตจริง แบบ Manual ก็เหมือนคนไม่สบายแล้วไปหาหมอ ตรวจละเอียดก่อนค่อยกลับไปทำงาน ส่วน Auto ก็คือไข้พอลดปุ๊บก็ลุกไปทำงานเลย ทั้งที่จริง ๆ อาจยังไม่หายดี

Step 5: ดู Trip Class ให้เหมาะ

Trip Class กำหนดว่าโอเวอร์โหลดจะใช้เวลาเท่าไรในการตัดเมื่อเจอกระแสเกินค่ะ

  • Class 10: ตัดเร็ว เหมาะกับโหลดเบา เช่น ปั๊มน้ำเล็ก ๆ
  • Class 20: ตัดกลาง ๆ ใช้ได้ทั่วไป เช่น เครื่องจักร SME
  • Class 30: ตัดช้า เหมาะกับมอเตอร์ที่สตาร์ทช้า เช่น เครื่องบด สายพาน

ถ้าให้เห็นภาพง่าย ๆ Class 10 ก็เหมือนส้มตำไม่เผ็ด แค่พริกนิดเดียวก็ร้องแล้ว (ตัดไว) Class 20 ก็เหมือนตำปกติ กินได้ทุกคน ส่วน Class 30 ก็คือตำพริกสิบเม็ด ต้องใช้เวลาเคี้ยวนานถึงจะรู้สึก (ตัดช้า)

กลไกการทำงาน: เดี่ยวไม่ได้ ต้องทำงานเป็นทีม

จริง ๆ แล้ว โอเวอร์โหลดรีเลย์ ไม่เคยทำงานคนเดียวค่ะ มันเป็นแค่หนึ่งในทีมที่ช่วยกันปกป้องมอเตอร์ทั้งหมด ถ้ามีแค่มันตัวเดียว ระบบก็ไม่สมบูรณ์

  • โอเวอร์โหลดรีเลย์: ตรวจจับความผิดปกติ ถ้าเจอโหลดเกินก็เปลี่ยนสถานะหน้าสัมผัสในวงจรควบคุม
  • คอนแทคเตอร์ (Contactor): รับสัญญาณจากโอเวอร์โหลดแล้วตัดไฟในวงจรหลักทันที
  • เซอร์กิตเบรกเกอร์ (Circuit Breaker): ปกป้องระบบใหญ่ทั้งก้อนจากไฟเกินแรง ๆ หรือไฟลัดวงจร

ลองนึกภาพว่าโอเวอร์โหลดเหมือนโค้ชที่ยืนข้างสนาม คอยดูนักเตะเล่น ถ้าเห็นว่ามีปัญหาก็ส่งสัญญาณไปให้นักเตะ (คอนแทคเตอร์) ลงมือหยุดเกม ส่วนเบรกเกอร์ก็เปรียบเหมือนกรรมการใหญ่ที่คอยเป่านกหวีดให้หยุดทั้งสนามเวลามีเหตุร้ายแรง ถ้าขาดใครไปคนหนึ่ง ระบบก็ไม่สมบูรณ์ค่ะ

Howto เลือก โอเวอร์โหลดรีเลย์ Overload Relay ให้ตรงงาน

Checklist ก่อนซื้อโอเวอร์โหลด

จำง่าย ๆ เวลาไปซื้อให้เช็ก 5 ข้อนี้

  • พิกัดกระแสมอเตอร์
  • ช่วงกระแสที่รองรับ
  • เลือก Thermal หรือ Electronic
  • เลือก Reset Mode
  • เลือก Trip Class

เกร็ดเล็ก ๆ ที่หลายคนเข้าใจผิด

หลายคนชอบเรียกทุกอย่างที่ตัดไฟว่า “เบรกเกอร์” แต่จริง ๆ เบรกเกอร์กับโอเวอร์โหลดไม่เหมือนกันนะคะ

  • Circuit Breaker (เบรกเกอร์): ตัดไฟทั้งระบบ ป้องกันไฟเกินหรือลัดวงจร
  • Overload Relay (โอเวอร์โหลด): ตัดเฉพาะมอเตอร์ ป้องกันไม่ให้ทำงานเกินกำลัง

พูดให้เห็นภาพง่าย ๆ เบรกเกอร์เหมือนยามเฝ้าประตูใหญ่ ส่วนโอเวอร์โหลดเหมือนผู้ช่วยนั่งเฝ้าข้าง ๆ มอเตอร์

บทความที่เกี่ยวข้อง

 - รู้จักกับ "โอเวอร์โหลด (รีเลย์)" อุปกรณ์สำคัญที่ปกป้องทุกระบบ

สรุป

โอเวอร์โหลดรีเลย์ อาจดูเป็นของเล็ก ๆ ที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง แต่จริง ๆ แล้วมันคือ “ประกันภัยของมอเตอร์” เลยค่ะ ลงทุนไม่กี่ร้อยหรือพัน แต่ช่วยป้องกันความเสียหายหลักหมื่นหลักแสนได้

สูตรจำง่าย ๆ ก่อนซื้อโอเวอร์โหลด

  1. ดูพิกัดกระแสมอเตอร์
  2. เลือกช่วงกระแสให้ตรง
  3. เลือก Thermal หรือ Electronic
  4. ดูว่าจะเอา Reset Mode แบบไหน
  5. เช็ก Trip Class ให้เหมาะ

เลือกให้ถูกตั้งแต่แรก มอเตอร์ก็อยู่กับเราได้นาน งานก็เดินสะดวก ไม่ต้องมาปวดหัวซ่อมบ่อย ๆ อีกต่อไปค่ะ

เลือกซื้อ โอเวอร์โหลด เพิ่มเติม