เลือก หม้อเพิ่มไฟ อย่างไร? ให้เหมาะกับการใช้งานต่างๆ

Customers Also Purchased

เคยเจอสถานการณ์เหล่านี้ไหม? “ไฟตก ไฟกระชาก” บางทีอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ทน ๆ เอาหน่อยเดี๋ยวก็หาย แต่บอกเลยครับว่าไม่ใช่! เพราะไฟฟ้าที่ไม่นิ่งนี่แหละ คือตัวการที่ทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่บ้านของคุณพังแบบไม่รู้ตัว ทีวีจอดับ ตู้เย็นคอมเพรสเซอร์รวน หรือแม้กระทั่ง เครื่องจักรในโรงงานหยุดทำงานกลางคัน เสียหายทั้งเครื่อง เสียทั้งเวลา และบางทีก็เสียเงินก้อนโตโดยใช่เหตุ

เราเองเคยเจอกับตัวมาแล้ว! ตอนอยู่ต่างจังหวัด ไฟบ้านตกแทบทุกเย็น เปิดทีวีแล้วภาพหายบ้าง ตู้เย็นทำเสียงดังแปลก ๆ จนสุดท้ายเครื่องซักผ้าพังไปหนึ่งเครื่อง โครตเซ็ง! ตอนนั้นยังไม่รู้จักคำว่า “หม้อเพิ่มไฟ” เลยซ่ะด้วยซ้ำ คิดแค่ว่าไฟบ้านก็คงเป็นแบบนี้แหละ จนวันหนึ่งได้ลองหาข้อมูลจริงๆจังๆ ถึงได้รู้ว่าเจ้าเครื่องเล็ก ๆ นี่แหละที่ช่วยชีวิตเครื่องใช้ไฟฟ้าเราได้ พอซื้อมาลองใช้ ปรากฏว่าชีวิตเปลี่ยนเลยครับ ไฟนิ่งขึ้นทันตา เครื่องใช้ไฟฟ้าก็ทำงานได้เรียบ ๆ ไม่งอแงเหมือนก่อน ความรู้สึกมันต่างจริง ๆ เหมือนจากที่เคยลุ้นทุกครั้งว่าจะดับอีกไหม ก็กลายเป็นความสบายใจ ใช้อะไรก็มั่นใจขึ้นเยอะ

พูดง่าย ๆ หม้อเพิ่มไฟ ไม่ใช่ของฟุ่มเฟือยอะไรเลยครับ แต่เป็นเหมือน “เกราะป้องกัน” ให้เราซ่ะมากกว่า เป็นตัวช่วยยืดอายุการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นตู้เย็น แอร์ ทีวี หรือแม้แต่เครื่องจักรใหญ่ในโรงงานก็ตาม ซึ่งการเลือก หม้อเพิ่มไฟ ก็มีเทคนิคพอสมควร ไม่ใช่ว่าเจอรุ่นไหนก็ซื้อได้เลย ต้องดูทั้งกำลังไฟที่ใช้จริงในบ้านหรือในโรงงาน ขนาดโหลดที่เครื่องจะรับ เพราะงั้นต้องอ่านบทความนี้ แล้วคุณก็จะถึง…บางอ้อ

เลือก หม้อเพิ่มไฟ อย่างไร ให้เหมาะกับการใช้งานต่างๆ

ทำไมต้องมี หม้อเพิ่มไฟ?

หลายๆคนเข้าใจผิดว่า หม้อเพิ่มไฟ เป็นเครื่องที่ทำให้ไฟแรงขึ้น เหมือนเติมพลังพิเศษให้เครื่องใช้ไฟฟ้า แต่ความจริงไม่ใช่เลยครับ! หน้าที่หลักของมันคือ “ปรับแรงดันไฟให้คงที่ต่างหาก” เปรียบสเหมือนว่ามันเป็น “ผู้จัดการหลังบ้าน” ของระบบไฟเลยก็ว่าได้ เพราะมันคอยคุมไม่ให้ไฟตกบ่อย ๆ หรือพุ่งแรงเกินไปจนกระทบกับอุปกรณ์ไฟฟ้าของเรา

ลองนึกภาพตามนะครับ เวลาไฟกระพริบ ตู้เย็นทำงานแปลก ๆ หรือคอมพิวเตอร์ดับไปเองดื้อ ๆ มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอก แต่เป็นเพราะไฟบ้านไม่เสถียรนี่แหละหลับ โดยเฉพาะอุปกรณ์ที่อ่อนไหวต่อไฟอย่างทีวี เครื่องเสียง คอมพิวเตอร์ หรือเครื่องจักรในโรงงานที่ต้องเดินต่อเนื่องแบบไม่มีสิทธิ์พังกลางคัน ตรงนี้แหละครับที่หม้อเพิ่มไฟเข้ามามีบทบาท 

แต่ก็เข้าใจนะครับ ที่มีคนคิดว่า “บ้านเราก็ใช้ได้ปกตินี่ จะซื้อทำไมให้เปลือง?” เพราะปัญหานี้มันไม่ได้โผล่มาให้เห็นชัด ๆ ทันที มันเหมือนโรคสะสมครับ วันนี้ไฟตกนิด พรุ่งนี้ไฟกระชากหน่อย เครื่องก็ยังทำงานได้ปกติ เลยชะล่าใจ แต่จริง ๆ แล้วผลเสียมันค่อย ๆ สะสมไปเรื่อย ๆ จนวันหนึ่งเครื่องเสียแบบงง ๆ ว่า “มันพังได้ยังไง?”
พูดง่าย ๆ ก็คือ หม้อเพิ่มไฟ ไม่ได้ทำให้บ้านคุณเจ๋งขึ้นทันตา แต่ทำให้ทุกอย่างเดินเรียบขึ้นแบบไม่ต้องลุ้น และนั่นแหละคือสิ่งที่ หม้อเพิ่มไฟ ให้คุณได้ ลงทุนทีเดียว แต่ช่วยยืดอายุเครื่องใช้ไฟฟ้าและป้องกันความเสียหายหลักหมื่นหลักแสนได้จริง ๆ

ประเภทของ หม้อเพิ่มไฟ ที่เจอบ่อย

หม้อเพิ่มไฟ แบบ Manual (ปรับเอง)

หม้อเพิ่มไฟ ประเภทนี้ ถือว่าเป็นรุ่นพื้นฐานที่สุด มีราคาย่อมเยา จุดเด่น หม้อเพิ่มไฟ ประเภทนี้คือประหยัดครับ แต่ข้อจำกัดคือ…เวลาไฟตกหรือไฟเกิน เราต้องคอยหมุนสวิตช์ปรับเอง เหมาะกับงานที่ไม่ซีเรียสมาก เช่น พัดลม ทีวี หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านทั่วไปที่พังแล้วพอซ่อมหรือเปลี่ยนได้ ไม่ถึงขั้นกระทบงานใหญ่ ๆ

หม้อเพิ่มไฟ แบบ Automatic (อัตโนมัติ)

เรียกได้ว่าเป็นรุ่นยอดฮิตของ หม้อเพิ่มไฟ เลยก็ว่าได้ครับ เพราะใช้ง่าย ไม่ต้องนั่งเฝ้าอะไรทั้งนั้น เจ้าเครื่องนี้มันจะตรวจจับแรงดันไฟเอง แล้วปรับให้โดยอัตโนมัติ สะดวกสุด ๆ เหมาะทั้งกับบ้าน ร้านค้า ไปจนถึงออฟฟิศ ใครที่ไม่อยากปวดหัวกับไฟบ้านไม่นิ่ง นี่คือทางออกที่คุ้มที่สุดครับ

หม้อเพิ่มไฟ แบบ Servo Motor Control

หม้อเพิ่มไฟ รุ่นนี้ขยับขึ้นมาอีกระดับ ใช้มอเตอร์ช่วยปรับไฟให้แม่นยำกว่าแบบ Automatic ธรรมดา เหมาะสำหรับงานที่ต้องการไฟนิ่งจริง ๆ เช่น เครื่องมือแพทย์ เครื่องจักรที่หยุดไม่ได้ หรืออุปกรณ์ที่ถ้าไฟสะดุดนิดเดียวก็มีปัญหาใหญ่ตามมา พูดง่าย ๆ คือของที่ต้อง “จริงจัง” เรื่องไฟ ต้องพึ่งรุ่นนี้ครับ

หม้อเพิ่มไฟ แบบ Electronic / Static

นี่คือเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ไม่ต้องใช้มอเตอร์ แต่ใช้วงจรอิเล็กทรอนิกส์ควบคุมแทน ทำให้ปรับไฟได้ไวมาก ทนทาน แถมไม่ต้องบำรุงรักษาบ่อย ๆ จุดแข็งชัดเจน แต่ราคาก็สูงตามไปด้วย ถ้าคุณอยากได้ของที่ทำงานนิ่งสุด ๆ และใช้ยาว ๆ โดยไม่ต้องกังวล เรื่องงบต้องถึงหน่อย แต่รับรองว่าคุ้ม

เลือก หม้อเพิ่มไฟ อย่างไร ให้เหมาะกับการใช้งานต่างๆ

เลือก หม้อเพิ่มไฟ ตามการใช้งาน

สำหรับบ้านทั่วไป

เวลาเลือก หม้อเพิ่มไฟ สำหรับใช้ในบ้าน หลายคนมักคิดว่าต้องซื้อใหญ่ ๆ แพง ๆ ไว้ก่อน แต่จริง ๆ แล้วไม่จำเป็นเลยครับ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านอย่างทีวี ตู้เย็น แอร์ ส่วนใหญ่ไม่ได้กินไฟเยอะขนาดนั้น รุ่น Automatic ขนาดเล็ก–กลาง (500VA – 2000VA) ก็เอาอยู่แล้ว จุดสำคัญคือควรเลือกเผื่อไว้หน่อย เช่น ใช้รวมกันจริง ๆ ประมาณ 1000VA ก็จัดไปเลย 1500VA ขึ้นไป เผื่อเปิดพร้อมกัน จะได้ไม่ต้องกังวลเวลาใช้งานจริง

สำหรับสำนักงานหรือร้านค้า

ออฟฟิศหรือร้านค้าจะต่างจากบ้านครับ เพราะอุปกรณ์ไอทีอย่างคอมพิวเตอร์ เครื่องปริ้นเตอร์ หรือแม้แต่เซิร์ฟเวอร์ มันอ่อนไหวต่อไฟตกไฟกระชากมาก ๆ ถ้าไฟไม่นิ่งอยู่ดี ๆ ดับไป ข้อมูลหาย งานสะดุด เสียหายเป็นหมื่นก็มีมาแล้ว ดังนั้นแนะนำให้เลือก Automatic หรือ Servo Motor จะมั่นใจกว่า ขนาดก็อยู่ที่ 3000VA – 5000VA เพราะเราต้องเผื่อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เปิดพร้อมกันหลายเครื่องครับ

สำหรับโรงงานหรือเครื่องจักร

มาถึงงานใหญ่กันบ้าง โรงงานหรือเครื่องจักรนี่ไม่ใช่เล่น ๆ นะครับ เพราะถ้าไฟสะดุดนิดเดียว เครื่องหยุดกลางคัน ความเสียหายอาจเป็นหลักแสนหรือหลักล้านได้เลย หม้อเพิ่มไฟที่ใช้ในกรณีนี้ควรเป็น Servo Motor Control หรือ Electronic ขนาด 10,000VA ขึ้นไป ถึงจะเอาอยู่ และที่สำคัญควรให้ช่างผู้เชี่ยวชาญติดตั้งให้ เพื่อความปลอดภัยและให้ระบบทำงานเต็มประสิทธิภาพ

เลือก หม้อเพิ่มไฟ อย่างไร ให้เหมาะกับการใช้งานต่างๆ

เทคนิคการเลือก หม้อเพิ่มไฟ

เช็กกำลังไฟ (VA หรือ Watt)

อันนี้เป็นเรื่องพื้นฐานที่มองข้ามไม่ได้ครับ ให้นึกง่าย ๆ ว่าเราต้องเอา “โหลดรวม” ของเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งหมดที่อยากต่อเข้าหม้อเพิ่มไฟมาบวกรวมกันก่อน จากนั้นก็เผื่อไว้อีกสัก 20–30% เหมือนเวลาซื้อเสื้อผ้าเผื่อใหญ่กว่าตัวนิดหน่อย จะได้ใส่สบาย ไม่อึดอัด หม้อเพิ่มไฟก็เหมือนกันครับ ถ้าเลือกพอดีเป๊ะ ๆ เครื่องทำงานหนักเกินไป ใช้ไม่นานก็พัง

เลือกยี่ห้อที่ไว้ใจได้

อย่ามอง หม้อเพิ่มไฟ แค่ราคาถูกอย่างเดียวครับ เพราะ หม้อเพิ่มไฟ เป็นอุปกรณ์ที่ทำงาน ตลอดเวลา ถ้าคุณไปเลือกแบรนด์ที่ไม่คุ้นหู คุณภาพไม่แน่ใจ มีสิทธิ์พังง่าย หรือแย่กว่านั้นคือพาเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต่ออยู่เสียหายไปด้วย คิดดูสิครับ ตู้เย็นพัง เครื่องเสียงรวน หรือแอร์ดับกลางดึก แค่ประหยัดเงินนิดเดียว แต่ต้องซ่อมของหลักหมื่น แบบนั้นไม่คุ้มแน่นอน

ดูระบบป้องกันเสริม

หม้อเพิ่มไฟ ที่ดีควรมี “ระบบตัดไฟอัตโนมัติ” ด้วยนะครับ เพราะเวลาไฟเกินหรือไฟตกเกินขอบเขต มันจะช่วยป้องกันไม่ให้อุปกรณ์เสียหาย ฟังดูเหมือนเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่จริง ๆ แล้วนี่คือฟีเจอร์ที่ช่วยเซฟเงินคุณแบบเนียน ๆ เลยครับ เพราะถ้าไม่มี ฟ้าผ่า ไฟตกแรง ๆ ทีเดียว อุปกรณ์เสียหายยกแผงขึ้นมานี่เจ็บหนักกว่าเยอะ

บริการหลังการขาย

ข้อนี้หลายคนมักมองข้ามครับ แต่สำคัญมาก เพราะหม้อเพิ่มไฟใช้งานยาว ๆ หลายปี ระหว่างนั้นอาจต้องซ่อม เปลี่ยนอะไหล่ หรือเช็กระบบบ้าง ถ้าเลือกแบรนด์ที่มีศูนย์บริการชัดเจน อะไหล่หาง่าย ก็อุ่นใจกว่าเยอะ อย่างน้อยเวลาเกิดปัญหาก็ไม่ต้องปวดหัวหาช่างเอง

ประสบการณ์จริงจากการใช้งาน หม้อเพิ่มไฟ

เราเคยคุยกับลูกค้ารายหนึ่งเปิดร้านอาหาร ใช้ตู้เย็นใหญ่ 3 เครื่อง เครื่องปรับอากาศอีก 2 ตัว แต่ไฟที่ร้านตกบ่อยมากจนตู้เย็นเสียงดัง “ครืด ๆ” แล้วคอมเพรสเซอร์พังไปหนึ่งรอบ เขาเลยมาซื้อหม้อเพิ่มไฟ แบบ Servo ขนาด 5000VA ไปใช้ หลังจากนั้นตู้เย็นทำงานนิ่งขึ้น เปิดร้านได้สบายใจ ไม่ต้องมาลุ้นว่าอาหารจะเสียเพราะตู้ดับอีกแล้ว

อีกเคสค่อนข้างใกล้ตัวเลย เพื่อนเราเองเป็นสายเครื่องเสียง เทคโนโลยี อะไรพวกนี้ ชอบเล่นเครื่องเสียงที่บ้าน เขาซื้อ หม้อเพิ่มไฟ แบบ Electronic มาใช้กับชุดโฮมเธียเตอร์ ตอนแรกคิดว่าแค่กันไฟตก แต่พอใช้จริงปรากฏว่าเสียงคมชัดขึ้น ฟังเพลงแล้วนุ่มกว่าเดิม เขายิ้มเลยครับ บอกว่าคุ้มยิ่งกว่าซื้อสายลำโพงแพง ๆ อีก

สรุป

หม้อเพิ่มไฟ ไม่ใช่อุปกรณ์ที่บ้านทุกหลัง “จำเป็นต้องมี” แต่ถ้าใครเจอไฟตกไฟเกินบ่อย ๆ หรือมีเครื่องใช้ไฟฟ้าที่หวงแหนจริง ๆ เช่น ตู้เย็น เครื่องเสียง คอมพิวเตอร์ หรือเครื่องจักรในโรงงาน การลงทุนซื้อหม้อเพิ่มไฟคือการป้องกันความเสียหายระยะยาว เลือกให้ถูกประเภท ถูกขนาด และเหมาะกับการใช้งาน จะช่วยยืดอายุการใช้งานอุปกรณ์ได้อีกนาน

เลือก หม้อเพิ่มไฟ ให้เหมาะกับการใช้งาน