ไฟดับบ่อยทำไงดี? 3 อุปกรณ์ที่ควรมีติดบ้านไว้ใช้ยามฉุกเฉิน

Customers Also Purchased

เคยไหมคะ…กำลังนั่งดูซีรีส์เพลิน ๆ พระเอกกำลังจะสารภาพรัก นางเอกทำท่าจะตอบกลับ แต่จู่ ๆ “ตึ้บ!” ไฟดับทั้งบ้าน มันโคตรจะขัดอารมณ์สุด ๆ ไปเลยใช่ไหมคะ หรือบางที กำลังหุงข้าวอยู่ดี ๆ หม้อหุงข้าวทำงานไปครึ่งทาง กลิ่นหอมเริ่มมาแล้ว แต่ยังไม่ทันจะได้กิน ไฟก็ดับพรึ่บ! สุดท้ายข้าวไม่สุก กะเพราที่ผัดไว้ก็ไม่มีข้าวตักกิน บอกเลยว่าอารมณ์เสียยิ่งกว่ารถติดอยู่กลางสี่แยกตอนหิว ๆ อีกค่ะ

ที่แย่กว่านั้นคือ…ไฟดับไม่ใช่แค่เรื่องของอารมณ์เสียเท่านั้นนะคะ แต่ยังอาจทำให้ เครื่องใช้ไฟฟ้าพัง, งานหาย, หรือบ้านไม่ปลอดภัย ได้อีกด้วย โดยเฉพาะเวลาที่ไฟตก ไฟกระชาก หรือดับนาน ๆ ทีนี่เรื่องใหญ่เลยค่ะ เพราะงั้น น้องช่างอยากจะบอกเลยว่า การเตรียมตัวสำคัญกว่าการมานั่งบ่นทีหลัง! ถ้าไม่อยากให้ไฟดับมาทำชีวิตสะดุด ทุกบ้านควรมีตัวช่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พร้อมใช้งานได้ทันที วันนี้น้องช่างเลยจะมาเล่าให้ฟังว่า…“3 อุปกรณ์ที่ควรมีติดบ้าน” เวลาที่ไฟดับบ่อย มันคืออะไรบ้าง และทำไมถึงจำเป็นกับบ้านไทยอย่างเรา ๆ ค่ะ

 1. ไฟฉายแรงสูง – ผู้ช่วยเบอร์หนึ่งยามบ้านมืด

ไฟดับบ่อยทำไงดี 3 อุปกรณ์ที่ควรมีติดบ้านไว้ใช้ยามฉุกเฉิน

ถ้าไฟดับปุ๊บ สิ่งแรกที่หายไปจากบ้านก็คือ “ความสว่าง” ค่ะ แล้วความมืดนี่แหละตัวดีเลย ทั้งทำให้เดินลำบาก เดินชนขอบโต๊ะ หรือสะดุดสายไฟได้ง่าย ๆ ไหนจะอันตรายเวลาต้องเดินไปเช็กคัทเอาต์หรือฟิวส์อีก หลายคนอาจจะคิดว่า “เอามือถือเปิดไฟแฟลชก็พอแล้วนี่นา” แต่ถามจริง ๆ เลยนะคะ มือถือของเราแบตมันจะเหลือกี่เปอร์เซ็นต์ในจังหวะไฟดับพอดี? ยิ่งถ้าไฟดับตอนกลางคืน แบตอาจจะเหลือแค่ 10 – 20% เปิดได้ไม่กี่นาที ก็ต้องปิดเครื่องไปเลยเพื่อเก็บแบตไว้ใช้ติดต่อฉุกเฉินแทน จะให้ถือมือถือวิ่งไปวิ่งมาในบ้านมืด ๆ ทั้งเสี่ยงทั้งไม่สะดวกค่ะ 

       นี่แหละค่ะที่ ไฟฉายแรงสูง (High Power Flashlight) กลายเป็นพระเอกทันที!

ทำไมต้อง “แรงสูง”?

เพราะไฟฉายธรรมดาอาจสว่างเฉพาะตรงหน้า แต่ไฟฉายแรงสูงมีความสว่างตั้งแต่ 200–500 ลูเมน ขึ้นไป (บางรุ่นแรงถึงหลักพันลูเมน) เรียกว่าพอเปิดแล้วแสงพุ่งครอบคลุมทั้งห้อง หรือแม้แต่เดินในสวนรอบบ้านก็เห็นชัดเจน

น้องช่างเองเคยเจอไฟดับกลางดึกค่ะ บ้านมืดสนิท ต้องเดินไปเช็กที่ ตู้คัทเอาต์ตรงมุมห้องครัว ซึ่งมืดกว่าที่คิดเพราะไฟบ้านดับหมด ถ้าไม่มีไฟฉายแรงสูงนี่เดินชนเก้าอี้หรือสะดุดอะไรแน่ ๆ แต่พอหยิบไฟฉายแรงสูงมาเปิด แสงมันส่องได้ทั่ว เห็นทุกอย่างชัด ไม่ต้องคลำทางให้เสียวหัวเข่าเลยค่ะ

เลือกไฟฉายแรงสูงยังไงให้คุ้ม

  1. ความสว่าง (ลูเมน) – บ้านทั่วไป เอารุ่นกลาง ๆ 200–500 ลูเมนก็เหลือเฟือ แต่ถ้าใครอยู่บ้านใหญ่หรืออยากใช้กลางแจ้ง แนะนำรุ่นพันลูเมนขึ้นไป
  2. แบตเตอรี่ – ควรเลือกที่ ชาร์จไฟได้ ไม่ต้องซื้อถ่านบ่อย ๆ และมีระบบประหยัดพลังงาน
  3. โหมดแสง – ไฟฉายแรงสูงหลายรุ่นมีโหมดปรับได้ เช่น แสงแรงสุด, แสงกลาง, แสงกระพริบ (SOS) → มีประโยชน์มากเวลาฉุกเฉิน
  4. วัสดุ – รุ่นที่ทำจากอะลูมิเนียมอัลลอยด์จะทนทานกว่า และถ้า กันน้ำ/กันฝุ่น ได้ก็ยิ่งดี

รู้หรือไม่? ไฟฉายไม่ได้มีแบบเดียว!

จริง ๆ แล้ว ไฟฉายมีหลายประเภท เลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นไฟฉายพกพาเล็ก ๆ, ไฟฉายแรงสูง, ไฟฉายคาดหัว หรือแม้แต่ไฟฉายดำน้ำ แต่ละแบบถูกออกแบบมาให้เหมาะกับการใช้งานแตกต่างกันไป

หลายคนอาจสงสัยว่า “แล้วแบบไหนเหมาะกับใช้ในบ้าน เวลาที่ไฟดับ?”

 คำตอบก็คือ…ขึ้นอยู่กับว่าพี่จะเอาไปใช้ตรงไหนค่ะ ถ้าในบ้านทั่ว ๆ ไป ไฟฉายแรงสูงถือว่าตอบโจทย์ แต่ถ้าใครต้องใช้มือทำงานไปด้วย เช่น ซ่อมก๊อกน้ำ หรือจัดการกับฟิวส์ไฟ → ไฟฉายคาดหัวก็สะดวกมาก ๆ เพราะไม่ต้องถือไว้ตลอดเวลา

ถ้าใครอยากรู้รายละเอียดแบบครบ ๆ ว่าไฟฉายมีกี่ประเภท และเลือกยังไงให้เหมาะกับการใช้งาน ลองไปตามอ่านได้ที่บทความนี้เลยค่ะ ประเภทของไฟฉาย มีกี่แบบ? เลือกยังไงให้ตรงกับการใช้งานของคุณ

ไฟดับบ่อยทำไงดี 3 อุปกรณ์ที่ควรมีติดบ้านไว้ใช้ยามฉุกเฉิน

เลือกไฟฉายแรงสูงยังไงให้คุ้ม

  1. ความสว่าง (ลูเมน) – บ้านทั่วไป เอารุ่นกลาง ๆ 200–500 ลูเมนก็เหลือเฟือ แต่ถ้าใครอยู่บ้านใหญ่หรืออยากใช้กลางแจ้ง แนะนำรุ่นพันลูเมนขึ้นไป
  2. แบตเตอรี่ – ควรเลือกที่ ชาร์จไฟได้ ไม่ต้องซื้อถ่านบ่อย ๆ และมีระบบประหยัดพลังงาน
  3. โหมดแสง – ไฟฉายแรงสูงหลายรุ่นมีโหมดปรับได้ เช่น แสงแรงสุด, แสงกลาง, แสงกระพริบ (SOS) → มีประโยชน์มากเวลาฉุกเฉิน
  4. วัสดุ – รุ่นที่ทำจากอะลูมิเนียมอัลลอยด์จะทนทานกว่า และถ้า กันน้ำ/กันฝุ่น ได้ก็ยิ่งดี

ประโยชน์นอกเหนือจากไฟดับ

  • ซ่อมท่อใต้อ่างล้างจาน → เปิดไฟฉายแรงสูงส่องใต้ซิงค์ แทนการงมหาอุปกรณ์ในความมืด
  • เดินหาของในห้องเก็บของ → ไฟฉายมือถือสู้ไม่ได้
  • กิจกรรมกลางแจ้ง → ตั้งแคมป์, เดินป่า, หรือแม้แต่ใช้ตอนกุญแจตกใต้รถ

ช่างสาวเม้าท์มอย

บอกตรง ๆ ค่ะ ไฟฉายแรงสูงนี่เป็นของที่ สาว ๆ อย่างเราก็ใช้ได้ง่าย ไม่ต้องออกแรง ไม่ต้องแบกหนัก แค่กดปุ่มเดียว บ้านก็ปลอดภัยขึ้นทันทีแถมยังเป็นหนึ่งในของที่ลงทุนครั้งเดียว แต่ใช้ได้ยาวนานมาก ๆ เพราะวัสดุมันทน ไม่ได้เสียง่าย ๆ เลยค่ะ

—------- [ดูไฟฉายแรงสูงที่ iToolmart ได้ที่นี่]

 2. UPS เครื่องสำรองไฟ – ต่อเวลาให้อุปกรณ์สำคัญ

ไฟดับบ่อยทำไงดี 3 อุปกรณ์ที่ควรมีติดบ้านไว้ใช้ยามฉุกเฉิน

ไฟดับปุ๊บ สิ่งที่คนส่วนใหญ่กังวลไม่แพ้ความมืดก็คือ เครื่องใช้ไฟฟ้า โดยเฉพาะของที่ต้องทำงานต่อเนื่องอย่างคอมพิวเตอร์, เราเตอร์ Wi-Fi, หรือกล้องวงจรปิด บอกเลยว่าไฟหายแค่เสี้ยววินาทีเดียวก็ทำงานสะดุดไปหมดค่ะ

หลายบ้านอาจคิดว่า “UPS (เครื่องสำรองไฟ) นี่มันของออฟฟิศหรือเปล่า บ้านธรรมดาจำเป็นด้วยเหรอ?” …น้องช่างบอกเลยว่า จำเป็นมาก ๆ โดยเฉพาะยุคนี้ที่ใคร ๆ ก็ทำงานออนไลน์ WFH หรือเก็บข้อมูลไว้ในคอมกันหมด

UPS ทำงานยังไง?

UPS ย่อมาจาก Uninterruptible Power Supply หรือเรียกง่าย ๆ ว่า เครื่องสำรองไฟ เวลามีไฟฟ้าใช้งานปกติ UPS จะชาร์จแบตเตอรี่ของมันไปด้วย พอเกิดไฟดับหรือไฟตกเมื่อไหร่ → UPS จะจ่ายไฟต่อให้อุปกรณ์ที่เราเสียบไว้ทันที แบบไม่สะดุดเลย

เวลาที่ UPS จ่ายไฟได้จะอยู่ประมาณ 5–30 นาที (ขึ้นกับรุ่นและขนาด) ซึ่งอาจฟังดูสั้นนะคะ แต่ก็ พอให้เราเซฟงาน ปิดเครื่องอย่างปลอดภัย หรือรอไฟกลับมา ได้ ไม่ต้องมานั่งภาวนาว่างานที่หายไปจะกู้คืนได้หรือเปล่า

เคสจริงที่น้องช่างเจอเอง

เคยมีครั้งนึงน้องช่างกำลังนั่งทำไฟล์งานบนคอมใช้เวลาทำนานเลย เกือบจะเสร็จแล้วแท้ ๆ อยู่ดี ๆ ไฟก็ดับพรึ่บ! คอมดับไปพร้อมกัน งานที่ไม่ได้กดเซฟไว้ก็หายหมด วันนั้นเครียดจนแทบอยากร้องไห้เลยค่ะ

หลังจากนั้นบอกจรง ๆ ว่าเข็ดเลย รีบวิ่งไปซื้อเครื่องสำรองไฟมาติดบ้านอย่างไว ตั้งแต่นั้นมาไฟดับอีกกี่ครั้งก็เอาอยู่ ไม่ต้องนั่งกลัวงานหายหรือเน็ตหลุดกลางประชุมออนไลน์อีกต่อไป

ประโยชน์ของ UPS ในบ้าน

  • ต่อเวลาให้อุปกรณ์ไฟฟ้า → โดยเฉพาะคอม, Wi-Fi, กล้องวงจรปิด
  • กันไฟกระชาก → ป้องกันไม่ให้อุปกรณ์เสียหายจากไฟตกหรือไฟพุ่งแรง ๆ
  • ทำงานอัตโนมัติ → ไม่ต้องวิ่งไปเปิดสวิตช์ UPS มันจ่ายไฟเองทันที
  • เพิ่มความอุ่นใจ → รู้สึกเหมือนมีเกราะป้องกันเล็ก ๆ ให้บ้าน

เลือก UPS ยังไงให้เหมาะกับบ้าน

1. ขนาด (VA หรือ Watt) – ถ้าใช้แค่กับ Wi-Fi/คอมพ์เล็ก ๆ 600–1000VA ก็พอ แต่ถ้าอยากรองรับคอมใหญ่หรือหลายเครื่อง ควรดูรุ่น 1500VA ขึ้นไป

2. ประเภท –

  • Offline UPS → ราคาถูก ใช้กับอุปกรณ์ทั่วไป
  • Line-interactive UPS → ปรับแรงดันไฟได้เหมาะกับบ้านไฟตกบ่อย
  • Online UPS → จ่ายไฟนิ่งสุด ใช้กับงานที่ต้องการความเสถียรสูง (อาจเกินความจำเป็นของบ้านทั่วไป แต่ถ้ามีงบก็อุ่นใจ)

3. ฟังก์ชันเสริม – ดูว่ามีปลั๊กกี่ช่อง, รองรับอุปกรณ์กี่ชิ้น, มีซอฟต์แวร์แจ้งเตือนหรือไม่

น้องช่างแนะนำ

ถ้าบ้านไหนไฟดับ/ไฟตกบ่อยจริง ๆ การมี UPS จะช่วยลดความเสี่ยงทั้งเรื่องข้อมูลหายและอุปกรณ์เสียหายได้เยอะมากค่ะ คิดซะว่าเป็น “ประกันชิ้นเล็ก ๆ” ให้กับของที่เราใช้งานทุกวัน

3. เพาเวอร์บ็อกซ์ (Power Box) – แหล่งพลังงานเสถียรยามไฟดับ

ไฟดับบ่อยทำไงดี 3 อุปกรณ์ที่ควรมีติดบ้านไว้ใช้ยามฉุกเฉิน

ถ้าพูดถึงการเอาตัวรอดเวลาบ้านไฟดับนาน ๆ หลายชั่วโมง “เพาเวอร์บ็อกซ์” หรือบางคนเรียกว่า Power Station นี่แหละค่ะ ที่กลายเป็นพระเอกของบ้าน

เพราะมันคือ แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่มีวงจรแปลงไฟ (Inverter) ในตัว สามารถจ่ายไฟออกมาได้ทั้งแบบ DC (USB / 12V) และ AC 220V เสียบอุปกรณ์ได้แทบทุกอย่าง ตั้งแต่มือถือ โน้ตบุ๊ก ทีวี พัดลม ไปจนถึงหม้อหุงข้าวเล็ก ๆ เลยทีเดียว

ทำไมเพาเวอร์บ็อกซ์ถึงน่าใช้

  • ไฟดับนานหลายชั่วโมงก็ยังเอาอยู่ – ต่างจาก UPS ที่อยู่ได้ไม่กี่นาที
  • ไฟที่จ่ายออกมานิ่ง – เพราะผ่านวงจร Inverter ไม่เจอไฟตก ไฟกะพริบแบบไฟบ้าน
  • มีวงจรป้องกันไฟเกิน/ไฟกระชาก ในหลายรุ่น → ใช้ได้อย่างอุ่นใจ
  • ต่อโซลาร์เซลล์ได้ – บ้านไหนอยู่ต่างจังหวัดยิ่งคุ้ม

การใช้งานจริงที่เจอบ่อย

  • หน้าร้อน ไฟดับยาว → ต่อพัดลมไฟฟ้ากับเพาเวอร์บ็อกซ์ นอนต่อได้สบาย
  • WFH → ต่อโน้ตบุ๊ก + เราเตอร์ Wi-Fi ทำงานต่อ ไม่ต้องลุ้นเน็ตหลุดกลางประชุม
  • ตั้งแคมป์ → ใช้ชาร์จไฟให้มือถือ กล้อง หรือโคมไฟ ได้หลายชั่วโมง

มาถึงตรงนี้ หลายคนคงคิดว่า…

“งั้นมีเพาเวอร์บ็อกซ์ตัวเดียวก็จบแล้วสิ ไม่เห็นจำเป็นต้องมี UPS เลย”

จริงอยู่ว่าเพาเวอร์บ็อกซ์เก่งเรื่องสำรองไฟนาน ๆ แต่ มันไม่สามารถสลับไฟทันทีแบบ UPS ได้ค่ะ

  • ถ้าไฟดับตอนที่กำลังทำงานอยู่บนคอมพิวเตอร์ → UPS จะสลับไฟทันที ทำให้คอมไม่ดับแม้เสี้ยววินาที
  • แต่ถ้าใช้เพาเวอร์บ็อกซ์โดยตรง → จะมีจังหวะไฟดับก่อน แล้วเราค่อยสลับมาใช้เพาเวอร์บ็อกซ์เอง อุปกรณ์อย่างคอมฯ อาจดับไปก่อนแล้ว ข้อมูลที่ไม่ได้เซฟก็หายหมด

พูดง่าย ๆ คือ…

  • UPS เก่งเรื่อง “ป้องกันความสะดุด” → เหมาะกับอุปกรณ์ที่ต้องทำงานต่อเนื่อง เช่น คอม, Wi-Fi, CCTV
  • Power Box เก่งเรื่อง “อยู่ได้นาน” → เหมาะกับอุปกรณ์ทั่วไปในบ้านที่ต้องการไฟต่อเนื่องหลายชั่วโมง

น้องช่างแนะนำ

ถ้าบ้านไหนไฟดับไม่นานนัก UPS อาจพอเพียง แต่ถ้าไฟดับทีนึงยาวเป็นชั่วโมง เพาเวอร์บ็อกซ์คือสิ่งที่ควรมีติดบ้าน และถ้าเจอสถานการณ์ไฟตก/ไฟดับทั้งสั้นทั้งยาวบ่อย ๆ → มีทั้งสองอย่างคือฟูลออปชันที่อุ่นใจที่สุดค่ะ

—------- [ดูเพาเวอร์บ็อกซ์ที่ iToolmart ได้ที่นี่]

4. เคล็ดลับน้องช่าง เลือกยังไงให้เหมาะกับบ้าน

ตอนนี้เราก็รู้แล้วว่าอุปกรณ์ 3 อย่างที่ควรมีติดบ้านเวลาที่ไฟดับบ่อยคืออะไร — ไฟฉายแรงสูง, UPS, และเพาเวอร์บ็อกซ์ แต่ทีนี้คำถามคือ… แล้วบ้านเราควรเลือกแบบไหนดี? เพราะแต่ละบ้านไม่เหมือนกัน บางบ้านอยู่คอนโด บางบ้านอยู่ต่างจังหวัด แถมงบประมาณก็ไม่เท่ากันอีก

น้องช่างเลยขอแชร์เคล็ดลับเลือกแบบเข้าใจง่าย ๆ ค่ะ

บ้านไหนก็ต้องมี “ไฟฉายแรงสูง”

นี่คือของที่ ทุกบ้านควรมีโดยไม่ต้องคิดมาก เพราะไฟดับปุ๊บ ความมืดคือสิ่งแรกที่ต้องเจอ

  • บ้านเล็กหรือคอนโด → เลือกไฟฉายแรงสูงขนาดกะทัดรัด 200–500 ลูเมน พกง่าย หยิบสะดวก
  • บ้านใหญ่หรือมีสวน → เลือกรุ่นที่แรงกว่าพันลูเมนขึ้นไป จะได้ส่องรอบบ้านได้ทั่ว
  • ถ้ามีผู้สูงอายุหรือเด็กเล็ก → ควรมี “โคมไฟฉุกเฉิน” เพิ่มอีกสักอัน เสียบไว้กับปลั๊ก ใช้งานง่ายกว่าไฟฉาย

ถ้าเน้นงานกับคอมฯ หรือเน็ตห้ามสะดุด → ต้องมี “UPS”

บ้านที่ทำงานออนไลน์ เรียนออนไลน์ หรือมีคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ → UPS คือพระเอกตัวจริง

  • ไฟดับแค่เสี้ยววินาที คอมดับ งานหาย → UPS คือคำตอบ
  • เลือกขนาด VA ให้พอดีกับอุปกรณ์ ไม่ต้องซื้อใหญ่เกินไป แต่ก็อย่าเล็กจนจ่ายไฟไม่ไหว
  • ถ้าบ้านอยู่ในพื้นที่ไฟตกบ่อย ๆ → เลือก UPS แบบ Line-Interactive ช่วยปรับแรงดันไฟได้ด้วย

ถ้าไฟดับนาน ๆ บ่อย ๆ → เพาเวอร์บ็อกซ์คือคำตอบ

บ้านต่างจังหวัดหรือพื้นที่ที่ไฟดับทีเป็นชั่วโมง → เพาเวอร์บ็อกซ์ช่วยได้จริง

  • ใช้ต่อพัดลม ทีวี หรือชาร์จโน้ตบุ๊กได้หลายชั่วโมง
  • ถ้ามีรุ่นที่ต่อโซลาร์เซลล์ได้ → ใช้ได้ยาวแม้ไฟดับทั้งวัน
  • บ้านที่มีเด็กหรือผู้สูงอายุ เพาเวอร์บ็อกซ์ช่วยลดความเครียดได้เยอะเลย เพราะอย่างน้อยก็ยังมีไฟใช้ในชีวิตประจำวัน

ไฟดับบ่อยทำไงดี 3 อุปกรณ์ที่ควรมีติดบ้านไว้ใช้ยามฉุกเฉิน

เสริมความปลอดภัยให้บ้าน อุ่นใจกว่าเดิม

ไฟดับ ไฟตก ไฟกระชาก มันไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เลยนะคะพี่ เพราะถ้าโชคร้าย อาจไม่ใช่แค่ทีวีหรือคอมพ์พัง แต่ถึงขั้น บ้านทั้งหลังเกิดไฟไหม้ ได้เลย น้องช่างเลยอยากชวนมาเพิ่ม “เกราะป้องกันชั้นสุดท้าย” ให้กับบ้านแบบง่าย ๆ กันค่ะ

 1. ปลั๊กพ่วงมาตรฐานเท่านั้น!

  เลิกใช้ ปลั๊กพ่วง ตามตลาดเถอะพี่ เพราะข้างในส่วนใหญ่เป็นทองเหลืองคุณภาพต่ำ สายไฟเส้นบาง พอเจอไฟแรง ๆ เข้าหน่อยก็ร้อนจี๋จนละลายได้เลย

 –* ควรเลือกปลั๊กที่มี มาตรฐาน มอก. + สวิตช์ตัดไฟ วัสดุทนความร้อน มีเบรกเกอร์ในตัว ถึงจะแพงกว่านิด แต่ช่วยเซฟอุปกรณ์หลักหมื่นได้

 2. อัปเกรดตู้ไฟบ้านด้วย SPD (Surge Protective Device)

  ถ้าไฟกระชากแรง ๆ จากฟ้าผ่าหรือไฟฟ้าแรงสูงเข้ามา ปลั๊กพ่วงเล็ก ๆ เอาไม่อยู่แน่ค่ะ แต่ถ้าในตู้ไฟบ้านติดตั้ง SPD เอาไว้ → บ้านทั้งหลังก็จะได้เกราะกันไฟกระชากแบบ ยกเซ็ต ไม่ต้องกลัวว่าตู้เย็นหรือแอร์จะพังไปพร้อมกัน

 3. ตรวจสุขภาพไฟบ้านบ้างก็ดี

  เรียกช่างไฟมาตรวจปีละครั้งสองครั้ง เพื่อเช็กว่าระบบสายไฟ ตู้ไฟ เบรกเกอร์ยังแข็งแรงอยู่หรือเปล่า → กันไว้ดีกว่าแก้ค่ะ

น้องช่างสรุป

  • ทุกบ้าน = ไฟฉายแรงสูงของต้องมี
  • บ้านที่ห้ามงานสะดุด = UPS สำคัญมาก
  • บ้านไฟดับยาว ๆ = เพาเวอร์บ็อกซ์เอาอยู่

พูดง่าย ๆ เลยค่ะว่า เลือกให้ตรงกับบ้านตัวเอง จะคุ้มที่สุด ไม่ต้องซื้อทุกอย่างครบก็ได้ แต่ต้องเลือกให้ตรงกับปัญหาที่เจอจริง ๆ

บทสรุป

ไฟดับไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับบ้านเราเลยค่ะ ไม่ว่าจะอยู่คอนโดกลางเมือง หรือบ้านต่างจังหวัดริมทุ่งนา เราทุกคนก็เคยมีโมเมนต์ไฟดับที่ทำให้อารมณ์เสียกันมาแล้วทั้งนั้น — ดูซีรีส์อยู่ดี ๆ ก็ตัดจบแบบไม่ให้ซีนสุดท้าย, หุงข้าวค้างหม้อ, หรือกำลังทำงานสำคัญอยู่ไฟก็ดับพรึ่บ!

แต่พอเรารู้จักเตรียมตัวด้วย 3 อุปกรณ์หลัก —

  • ไฟฉายแรงสูง
  • UPS เครื่องสำรองไฟ
  • เพาเวอร์บ็อกซ์

บ้านเราก็จะพร้อมรับมือกับสถานการณ์ไฟดับได้แบบไม่สะดุดอีกต่อไป

เพราะสุดท้ายแล้ว เรื่องไฟฟ้ามันไม่ใช่แค่เรื่องความสะดวกสบาย แต่ยังเกี่ยวกับ ความปลอดภัยและความต่อเนื่องของชีวิตประจำวัน ด้วยค่ะ ของบางอย่างลงทุนครั้งเดียว แต่ช่วยป้องกันความเสียหายหลักหมื่นหลักแสนได้เลย

น้องช่างอยากฝากไว้สั้น ๆ ว่า…

          “ไฟดับจะไม่น่ากลัว ถ้าเราเตรียมพร้อมไว้ตั้งแต่วันนี้”

คราวหน้าไฟดับเมื่อไหร่ ก็ไม่ต้องนั่งบ่นหรือหงุดหงิดอีกต่อไป แค่หยิบอุปกรณ์ที่เตรียมไว้มาใช้ ชีวิตก็เดินหน้าต่อได้แบบสบาย ๆ ค่ะ

เลือกซื้อ อุปกรณ์ไฟฟ้า เพิ่มเติม