Customers Also Purchased
เคยไหมคะ…กำลังนั่งดูซีรีส์เพลิน ๆ พระเอกกำลังจะสารภาพรัก นางเอกทำท่าจะตอบกลับ แต่จู่ ๆ “ตึ้บ!” ไฟดับทั้งบ้าน มันโคตรจะขัดอารมณ์สุด ๆ ไปเลยใช่ไหมคะ หรือบางที กำลังหุงข้าวอยู่ดี ๆ หม้อหุงข้าวทำงานไปครึ่งทาง กลิ่นหอมเริ่มมาแล้ว แต่ยังไม่ทันจะได้กิน ไฟก็ดับพรึ่บ! สุดท้ายข้าวไม่สุก กะเพราที่ผัดไว้ก็ไม่มีข้าวตักกิน บอกเลยว่าอารมณ์เสียยิ่งกว่ารถติดอยู่กลางสี่แยกตอนหิว ๆ อีกค่ะ
ที่แย่กว่านั้นคือ…ไฟดับไม่ใช่แค่เรื่องของอารมณ์เสียเท่านั้นนะคะ แต่ยังอาจทำให้ เครื่องใช้ไฟฟ้าพัง, งานหาย, หรือบ้านไม่ปลอดภัย ได้อีกด้วย โดยเฉพาะเวลาที่ไฟตก ไฟกระชาก หรือดับนาน ๆ ทีนี่เรื่องใหญ่เลยค่ะ เพราะงั้น น้องช่างอยากจะบอกเลยว่า การเตรียมตัวสำคัญกว่าการมานั่งบ่นทีหลัง! ถ้าไม่อยากให้ไฟดับมาทำชีวิตสะดุด ทุกบ้านควรมีตัวช่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พร้อมใช้งานได้ทันที วันนี้น้องช่างเลยจะมาเล่าให้ฟังว่า…“3 อุปกรณ์ที่ควรมีติดบ้าน” เวลาที่ไฟดับบ่อย มันคืออะไรบ้าง และทำไมถึงจำเป็นกับบ้านไทยอย่างเรา ๆ ค่ะ
1. ไฟฉายแรงสูง – ผู้ช่วยเบอร์หนึ่งยามบ้านมืด
ถ้าไฟดับปุ๊บ สิ่งแรกที่หายไปจากบ้านก็คือ “ความสว่าง” ค่ะ แล้วความมืดนี่แหละตัวดีเลย ทั้งทำให้เดินลำบาก เดินชนขอบโต๊ะ หรือสะดุดสายไฟได้ง่าย ๆ ไหนจะอันตรายเวลาต้องเดินไปเช็กคัทเอาต์หรือฟิวส์อีก หลายคนอาจจะคิดว่า “เอามือถือเปิดไฟแฟลชก็พอแล้วนี่นา” แต่ถามจริง ๆ เลยนะคะ มือถือของเราแบตมันจะเหลือกี่เปอร์เซ็นต์ในจังหวะไฟดับพอดี? ยิ่งถ้าไฟดับตอนกลางคืน แบตอาจจะเหลือแค่ 10 – 20% เปิดได้ไม่กี่นาที ก็ต้องปิดเครื่องไปเลยเพื่อเก็บแบตไว้ใช้ติดต่อฉุกเฉินแทน จะให้ถือมือถือวิ่งไปวิ่งมาในบ้านมืด ๆ ทั้งเสี่ยงทั้งไม่สะดวกค่ะ
นี่แหละค่ะที่ ไฟฉายแรงสูง (High Power Flashlight) กลายเป็นพระเอกทันที!
ทำไมต้อง “แรงสูง”?
เพราะไฟฉายธรรมดาอาจสว่างเฉพาะตรงหน้า แต่ไฟฉายแรงสูงมีความสว่างตั้งแต่ 200–500 ลูเมน ขึ้นไป (บางรุ่นแรงถึงหลักพันลูเมน) เรียกว่าพอเปิดแล้วแสงพุ่งครอบคลุมทั้งห้อง หรือแม้แต่เดินในสวนรอบบ้านก็เห็นชัดเจน
น้องช่างเองเคยเจอไฟดับกลางดึกค่ะ บ้านมืดสนิท ต้องเดินไปเช็กที่ ตู้คัทเอาต์ตรงมุมห้องครัว ซึ่งมืดกว่าที่คิดเพราะไฟบ้านดับหมด ถ้าไม่มีไฟฉายแรงสูงนี่เดินชนเก้าอี้หรือสะดุดอะไรแน่ ๆ แต่พอหยิบไฟฉายแรงสูงมาเปิด แสงมันส่องได้ทั่ว เห็นทุกอย่างชัด ไม่ต้องคลำทางให้เสียวหัวเข่าเลยค่ะ
เลือกไฟฉายแรงสูงยังไงให้คุ้ม
- ความสว่าง (ลูเมน) – บ้านทั่วไป เอารุ่นกลาง ๆ 200–500 ลูเมนก็เหลือเฟือ แต่ถ้าใครอยู่บ้านใหญ่หรืออยากใช้กลางแจ้ง แนะนำรุ่นพันลูเมนขึ้นไป
- แบตเตอรี่ – ควรเลือกที่ ชาร์จไฟได้ ไม่ต้องซื้อถ่านบ่อย ๆ และมีระบบประหยัดพลังงาน
- โหมดแสง – ไฟฉายแรงสูงหลายรุ่นมีโหมดปรับได้ เช่น แสงแรงสุด, แสงกลาง, แสงกระพริบ (SOS) → มีประโยชน์มากเวลาฉุกเฉิน
- วัสดุ – รุ่นที่ทำจากอะลูมิเนียมอัลลอยด์จะทนทานกว่า และถ้า กันน้ำ/กันฝุ่น ได้ก็ยิ่งดี
รู้หรือไม่? ไฟฉายไม่ได้มีแบบเดียว!
จริง ๆ แล้ว ไฟฉายมีหลายประเภท เลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นไฟฉายพกพาเล็ก ๆ, ไฟฉายแรงสูง, ไฟฉายคาดหัว หรือแม้แต่ไฟฉายดำน้ำ แต่ละแบบถูกออกแบบมาให้เหมาะกับการใช้งานแตกต่างกันไป
หลายคนอาจสงสัยว่า “แล้วแบบไหนเหมาะกับใช้ในบ้าน เวลาที่ไฟดับ?”
คำตอบก็คือ…ขึ้นอยู่กับว่าพี่จะเอาไปใช้ตรงไหนค่ะ ถ้าในบ้านทั่ว ๆ ไป ไฟฉายแรงสูงถือว่าตอบโจทย์ แต่ถ้าใครต้องใช้มือทำงานไปด้วย เช่น ซ่อมก๊อกน้ำ หรือจัดการกับฟิวส์ไฟ → ไฟฉายคาดหัวก็สะดวกมาก ๆ เพราะไม่ต้องถือไว้ตลอดเวลา
ถ้าใครอยากรู้รายละเอียดแบบครบ ๆ ว่าไฟฉายมีกี่ประเภท และเลือกยังไงให้เหมาะกับการใช้งาน ลองไปตามอ่านได้ที่บทความนี้เลยค่ะ ประเภทของไฟฉาย มีกี่แบบ? เลือกยังไงให้ตรงกับการใช้งานของคุณ
เลือกไฟฉายแรงสูงยังไงให้คุ้ม
- ความสว่าง (ลูเมน) – บ้านทั่วไป เอารุ่นกลาง ๆ 200–500 ลูเมนก็เหลือเฟือ แต่ถ้าใครอยู่บ้านใหญ่หรืออยากใช้กลางแจ้ง แนะนำรุ่นพันลูเมนขึ้นไป
- แบตเตอรี่ – ควรเลือกที่ ชาร์จไฟได้ ไม่ต้องซื้อถ่านบ่อย ๆ และมีระบบประหยัดพลังงาน
- โหมดแสง – ไฟฉายแรงสูงหลายรุ่นมีโหมดปรับได้ เช่น แสงแรงสุด, แสงกลาง, แสงกระพริบ (SOS) → มีประโยชน์มากเวลาฉุกเฉิน
- วัสดุ – รุ่นที่ทำจากอะลูมิเนียมอัลลอยด์จะทนทานกว่า และถ้า กันน้ำ/กันฝุ่น ได้ก็ยิ่งดี
ประโยชน์นอกเหนือจากไฟดับ
- ซ่อมท่อใต้อ่างล้างจาน → เปิดไฟฉายแรงสูงส่องใต้ซิงค์ แทนการงมหาอุปกรณ์ในความมืด
- เดินหาของในห้องเก็บของ → ไฟฉายมือถือสู้ไม่ได้
- กิจกรรมกลางแจ้ง → ตั้งแคมป์, เดินป่า, หรือแม้แต่ใช้ตอนกุญแจตกใต้รถ
ช่างสาวเม้าท์มอย
บอกตรง ๆ ค่ะ ไฟฉายแรงสูงนี่เป็นของที่ สาว ๆ อย่างเราก็ใช้ได้ง่าย ไม่ต้องออกแรง ไม่ต้องแบกหนัก แค่กดปุ่มเดียว บ้านก็ปลอดภัยขึ้นทันทีแถมยังเป็นหนึ่งในของที่ลงทุนครั้งเดียว แต่ใช้ได้ยาวนานมาก ๆ เพราะวัสดุมันทน ไม่ได้เสียง่าย ๆ เลยค่ะ
—------- [ดูไฟฉายแรงสูงที่ iToolmart ได้ที่นี่]
2. UPS เครื่องสำรองไฟ – ต่อเวลาให้อุปกรณ์สำคัญ
ไฟดับปุ๊บ สิ่งที่คนส่วนใหญ่กังวลไม่แพ้ความมืดก็คือ เครื่องใช้ไฟฟ้า โดยเฉพาะของที่ต้องทำงานต่อเนื่องอย่างคอมพิวเตอร์, เราเตอร์ Wi-Fi, หรือกล้องวงจรปิด บอกเลยว่าไฟหายแค่เสี้ยววินาทีเดียวก็ทำงานสะดุดไปหมดค่ะ
หลายบ้านอาจคิดว่า “UPS (เครื่องสำรองไฟ) นี่มันของออฟฟิศหรือเปล่า บ้านธรรมดาจำเป็นด้วยเหรอ?” …น้องช่างบอกเลยว่า จำเป็นมาก ๆ โดยเฉพาะยุคนี้ที่ใคร ๆ ก็ทำงานออนไลน์ WFH หรือเก็บข้อมูลไว้ในคอมกันหมด
UPS ทำงานยังไง?
UPS ย่อมาจาก Uninterruptible Power Supply หรือเรียกง่าย ๆ ว่า เครื่องสำรองไฟ เวลามีไฟฟ้าใช้งานปกติ UPS จะชาร์จแบตเตอรี่ของมันไปด้วย พอเกิดไฟดับหรือไฟตกเมื่อไหร่ → UPS จะจ่ายไฟต่อให้อุปกรณ์ที่เราเสียบไว้ทันที แบบไม่สะดุดเลย
เวลาที่ UPS จ่ายไฟได้จะอยู่ประมาณ 5–30 นาที (ขึ้นกับรุ่นและขนาด) ซึ่งอาจฟังดูสั้นนะคะ แต่ก็ พอให้เราเซฟงาน ปิดเครื่องอย่างปลอดภัย หรือรอไฟกลับมา ได้ ไม่ต้องมานั่งภาวนาว่างานที่หายไปจะกู้คืนได้หรือเปล่า
เคสจริงที่น้องช่างเจอเอง
เคยมีครั้งนึงน้องช่างกำลังนั่งทำไฟล์งานบนคอมใช้เวลาทำนานเลย เกือบจะเสร็จแล้วแท้ ๆ อยู่ดี ๆ ไฟก็ดับพรึ่บ! คอมดับไปพร้อมกัน งานที่ไม่ได้กดเซฟไว้ก็หายหมด วันนั้นเครียดจนแทบอยากร้องไห้เลยค่ะ
หลังจากนั้นบอกจรง ๆ ว่าเข็ดเลย รีบวิ่งไปซื้อเครื่องสำรองไฟมาติดบ้านอย่างไว ตั้งแต่นั้นมาไฟดับอีกกี่ครั้งก็เอาอยู่ ไม่ต้องนั่งกลัวงานหายหรือเน็ตหลุดกลางประชุมออนไลน์อีกต่อไป
ประโยชน์ของ UPS ในบ้าน
- ต่อเวลาให้อุปกรณ์ไฟฟ้า → โดยเฉพาะคอม, Wi-Fi, กล้องวงจรปิด
- กันไฟกระชาก → ป้องกันไม่ให้อุปกรณ์เสียหายจากไฟตกหรือไฟพุ่งแรง ๆ
- ทำงานอัตโนมัติ → ไม่ต้องวิ่งไปเปิดสวิตช์ UPS มันจ่ายไฟเองทันที
- เพิ่มความอุ่นใจ → รู้สึกเหมือนมีเกราะป้องกันเล็ก ๆ ให้บ้าน
เลือก UPS ยังไงให้เหมาะกับบ้าน
1. ขนาด (VA หรือ Watt) – ถ้าใช้แค่กับ Wi-Fi/คอมพ์เล็ก ๆ 600–1000VA ก็พอ แต่ถ้าอยากรองรับคอมใหญ่หรือหลายเครื่อง ควรดูรุ่น 1500VA ขึ้นไป
2. ประเภท –
- Offline UPS → ราคาถูก ใช้กับอุปกรณ์ทั่วไป
- Line-interactive UPS → ปรับแรงดันไฟได้เหมาะกับบ้านไฟตกบ่อย
- Online UPS → จ่ายไฟนิ่งสุด ใช้กับงานที่ต้องการความเสถียรสูง (อาจเกินความจำเป็นของบ้านทั่วไป แต่ถ้ามีงบก็อุ่นใจ)
3. ฟังก์ชันเสริม – ดูว่ามีปลั๊กกี่ช่อง, รองรับอุปกรณ์กี่ชิ้น, มีซอฟต์แวร์แจ้งเตือนหรือไม่
น้องช่างแนะนำ
ถ้าบ้านไหนไฟดับ/ไฟตกบ่อยจริง ๆ การมี UPS จะช่วยลดความเสี่ยงทั้งเรื่องข้อมูลหายและอุปกรณ์เสียหายได้เยอะมากค่ะ คิดซะว่าเป็น “ประกันชิ้นเล็ก ๆ” ให้กับของที่เราใช้งานทุกวัน
3. เพาเวอร์บ็อกซ์ (Power Box) – แหล่งพลังงานเสถียรยามไฟดับ
ถ้าพูดถึงการเอาตัวรอดเวลาบ้านไฟดับนาน ๆ หลายชั่วโมง “เพาเวอร์บ็อกซ์” หรือบางคนเรียกว่า Power Station นี่แหละค่ะ ที่กลายเป็นพระเอกของบ้าน
เพราะมันคือ แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่มีวงจรแปลงไฟ (Inverter) ในตัว สามารถจ่ายไฟออกมาได้ทั้งแบบ DC (USB / 12V) และ AC 220V เสียบอุปกรณ์ได้แทบทุกอย่าง ตั้งแต่มือถือ โน้ตบุ๊ก ทีวี พัดลม ไปจนถึงหม้อหุงข้าวเล็ก ๆ เลยทีเดียว
ทำไมเพาเวอร์บ็อกซ์ถึงน่าใช้
- ไฟดับนานหลายชั่วโมงก็ยังเอาอยู่ – ต่างจาก UPS ที่อยู่ได้ไม่กี่นาที
- ไฟที่จ่ายออกมานิ่ง – เพราะผ่านวงจร Inverter ไม่เจอไฟตก ไฟกะพริบแบบไฟบ้าน
- มีวงจรป้องกันไฟเกิน/ไฟกระชาก ในหลายรุ่น → ใช้ได้อย่างอุ่นใจ
- ต่อโซลาร์เซลล์ได้ – บ้านไหนอยู่ต่างจังหวัดยิ่งคุ้ม
การใช้งานจริงที่เจอบ่อย
- หน้าร้อน ไฟดับยาว → ต่อพัดลมไฟฟ้ากับเพาเวอร์บ็อกซ์ นอนต่อได้สบาย
- WFH → ต่อโน้ตบุ๊ก + เราเตอร์ Wi-Fi ทำงานต่อ ไม่ต้องลุ้นเน็ตหลุดกลางประชุม
- ตั้งแคมป์ → ใช้ชาร์จไฟให้มือถือ กล้อง หรือโคมไฟ ได้หลายชั่วโมง
มาถึงตรงนี้ หลายคนคงคิดว่า…
“งั้นมีเพาเวอร์บ็อกซ์ตัวเดียวก็จบแล้วสิ ไม่เห็นจำเป็นต้องมี UPS เลย”
จริงอยู่ว่าเพาเวอร์บ็อกซ์เก่งเรื่องสำรองไฟนาน ๆ แต่ มันไม่สามารถสลับไฟทันทีแบบ UPS ได้ค่ะ
- ถ้าไฟดับตอนที่กำลังทำงานอยู่บนคอมพิวเตอร์ → UPS จะสลับไฟทันที ทำให้คอมไม่ดับแม้เสี้ยววินาที
- แต่ถ้าใช้เพาเวอร์บ็อกซ์โดยตรง → จะมีจังหวะไฟดับก่อน แล้วเราค่อยสลับมาใช้เพาเวอร์บ็อกซ์เอง อุปกรณ์อย่างคอมฯ อาจดับไปก่อนแล้ว ข้อมูลที่ไม่ได้เซฟก็หายหมด
พูดง่าย ๆ คือ…
- UPS เก่งเรื่อง “ป้องกันความสะดุด” → เหมาะกับอุปกรณ์ที่ต้องทำงานต่อเนื่อง เช่น คอม, Wi-Fi, CCTV
- Power Box เก่งเรื่อง “อยู่ได้นาน” → เหมาะกับอุปกรณ์ทั่วไปในบ้านที่ต้องการไฟต่อเนื่องหลายชั่วโมง
น้องช่างแนะนำ
ถ้าบ้านไหนไฟดับไม่นานนัก UPS อาจพอเพียง แต่ถ้าไฟดับทีนึงยาวเป็นชั่วโมง เพาเวอร์บ็อกซ์คือสิ่งที่ควรมีติดบ้าน และถ้าเจอสถานการณ์ไฟตก/ไฟดับทั้งสั้นทั้งยาวบ่อย ๆ → มีทั้งสองอย่างคือฟูลออปชันที่อุ่นใจที่สุดค่ะ
—------- [ดูเพาเวอร์บ็อกซ์ที่ iToolmart ได้ที่นี่]
4. เคล็ดลับน้องช่าง เลือกยังไงให้เหมาะกับบ้าน
ตอนนี้เราก็รู้แล้วว่าอุปกรณ์ 3 อย่างที่ควรมีติดบ้านเวลาที่ไฟดับบ่อยคืออะไร — ไฟฉายแรงสูง, UPS, และเพาเวอร์บ็อกซ์ แต่ทีนี้คำถามคือ… แล้วบ้านเราควรเลือกแบบไหนดี? เพราะแต่ละบ้านไม่เหมือนกัน บางบ้านอยู่คอนโด บางบ้านอยู่ต่างจังหวัด แถมงบประมาณก็ไม่เท่ากันอีก
น้องช่างเลยขอแชร์เคล็ดลับเลือกแบบเข้าใจง่าย ๆ ค่ะ
บ้านไหนก็ต้องมี “ไฟฉายแรงสูง”
นี่คือของที่ ทุกบ้านควรมีโดยไม่ต้องคิดมาก เพราะไฟดับปุ๊บ ความมืดคือสิ่งแรกที่ต้องเจอ
- บ้านเล็กหรือคอนโด → เลือกไฟฉายแรงสูงขนาดกะทัดรัด 200–500 ลูเมน พกง่าย หยิบสะดวก
- บ้านใหญ่หรือมีสวน → เลือกรุ่นที่แรงกว่าพันลูเมนขึ้นไป จะได้ส่องรอบบ้านได้ทั่ว
- ถ้ามีผู้สูงอายุหรือเด็กเล็ก → ควรมี “โคมไฟฉุกเฉิน” เพิ่มอีกสักอัน เสียบไว้กับปลั๊ก ใช้งานง่ายกว่าไฟฉาย
ถ้าเน้นงานกับคอมฯ หรือเน็ตห้ามสะดุด → ต้องมี “UPS”
บ้านที่ทำงานออนไลน์ เรียนออนไลน์ หรือมีคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ → UPS คือพระเอกตัวจริง
- ไฟดับแค่เสี้ยววินาที คอมดับ งานหาย → UPS คือคำตอบ
- เลือกขนาด VA ให้พอดีกับอุปกรณ์ ไม่ต้องซื้อใหญ่เกินไป แต่ก็อย่าเล็กจนจ่ายไฟไม่ไหว
- ถ้าบ้านอยู่ในพื้นที่ไฟตกบ่อย ๆ → เลือก UPS แบบ Line-Interactive ช่วยปรับแรงดันไฟได้ด้วย
ถ้าไฟดับนาน ๆ บ่อย ๆ → เพาเวอร์บ็อกซ์คือคำตอบ
บ้านต่างจังหวัดหรือพื้นที่ที่ไฟดับทีเป็นชั่วโมง → เพาเวอร์บ็อกซ์ช่วยได้จริง
- ใช้ต่อพัดลม ทีวี หรือชาร์จโน้ตบุ๊กได้หลายชั่วโมง
- ถ้ามีรุ่นที่ต่อโซลาร์เซลล์ได้ → ใช้ได้ยาวแม้ไฟดับทั้งวัน
- บ้านที่มีเด็กหรือผู้สูงอายุ เพาเวอร์บ็อกซ์ช่วยลดความเครียดได้เยอะเลย เพราะอย่างน้อยก็ยังมีไฟใช้ในชีวิตประจำวัน
เสริมความปลอดภัยให้บ้าน อุ่นใจกว่าเดิม
ไฟดับ ไฟตก ไฟกระชาก มันไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เลยนะคะพี่ เพราะถ้าโชคร้าย อาจไม่ใช่แค่ทีวีหรือคอมพ์พัง แต่ถึงขั้น บ้านทั้งหลังเกิดไฟไหม้ ได้เลย น้องช่างเลยอยากชวนมาเพิ่ม “เกราะป้องกันชั้นสุดท้าย” ให้กับบ้านแบบง่าย ๆ กันค่ะ
1. ปลั๊กพ่วงมาตรฐานเท่านั้น!
เลิกใช้ ปลั๊กพ่วง ตามตลาดเถอะพี่ เพราะข้างในส่วนใหญ่เป็นทองเหลืองคุณภาพต่ำ สายไฟเส้นบาง พอเจอไฟแรง ๆ เข้าหน่อยก็ร้อนจี๋จนละลายได้เลย
–* ควรเลือกปลั๊กที่มี มาตรฐาน มอก. + สวิตช์ตัดไฟ วัสดุทนความร้อน มีเบรกเกอร์ในตัว ถึงจะแพงกว่านิด แต่ช่วยเซฟอุปกรณ์หลักหมื่นได้
2. อัปเกรดตู้ไฟบ้านด้วย SPD (Surge Protective Device)
ถ้าไฟกระชากแรง ๆ จากฟ้าผ่าหรือไฟฟ้าแรงสูงเข้ามา ปลั๊กพ่วงเล็ก ๆ เอาไม่อยู่แน่ค่ะ แต่ถ้าในตู้ไฟบ้านติดตั้ง SPD เอาไว้ → บ้านทั้งหลังก็จะได้เกราะกันไฟกระชากแบบ ยกเซ็ต ไม่ต้องกลัวว่าตู้เย็นหรือแอร์จะพังไปพร้อมกัน
3. ตรวจสุขภาพไฟบ้านบ้างก็ดี
เรียกช่างไฟมาตรวจปีละครั้งสองครั้ง เพื่อเช็กว่าระบบสายไฟ ตู้ไฟ เบรกเกอร์ยังแข็งแรงอยู่หรือเปล่า → กันไว้ดีกว่าแก้ค่ะ
น้องช่างสรุป
- ทุกบ้าน = ไฟฉายแรงสูงของต้องมี
- บ้านที่ห้ามงานสะดุด = UPS สำคัญมาก
- บ้านไฟดับยาว ๆ = เพาเวอร์บ็อกซ์เอาอยู่
พูดง่าย ๆ เลยค่ะว่า เลือกให้ตรงกับบ้านตัวเอง จะคุ้มที่สุด ไม่ต้องซื้อทุกอย่างครบก็ได้ แต่ต้องเลือกให้ตรงกับปัญหาที่เจอจริง ๆ
บทสรุป
ไฟดับไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับบ้านเราเลยค่ะ ไม่ว่าจะอยู่คอนโดกลางเมือง หรือบ้านต่างจังหวัดริมทุ่งนา เราทุกคนก็เคยมีโมเมนต์ไฟดับที่ทำให้อารมณ์เสียกันมาแล้วทั้งนั้น — ดูซีรีส์อยู่ดี ๆ ก็ตัดจบแบบไม่ให้ซีนสุดท้าย, หุงข้าวค้างหม้อ, หรือกำลังทำงานสำคัญอยู่ไฟก็ดับพรึ่บ!
แต่พอเรารู้จักเตรียมตัวด้วย 3 อุปกรณ์หลัก —
- ไฟฉายแรงสูง
- UPS เครื่องสำรองไฟ
- เพาเวอร์บ็อกซ์
บ้านเราก็จะพร้อมรับมือกับสถานการณ์ไฟดับได้แบบไม่สะดุดอีกต่อไป
เพราะสุดท้ายแล้ว เรื่องไฟฟ้ามันไม่ใช่แค่เรื่องความสะดวกสบาย แต่ยังเกี่ยวกับ ความปลอดภัยและความต่อเนื่องของชีวิตประจำวัน ด้วยค่ะ ของบางอย่างลงทุนครั้งเดียว แต่ช่วยป้องกันความเสียหายหลักหมื่นหลักแสนได้เลย
น้องช่างอยากฝากไว้สั้น ๆ ว่า…
“ไฟดับจะไม่น่ากลัว ถ้าเราเตรียมพร้อมไว้ตั้งแต่วันนี้”
คราวหน้าไฟดับเมื่อไหร่ ก็ไม่ต้องนั่งบ่นหรือหงุดหงิดอีกต่อไป แค่หยิบอุปกรณ์ที่เตรียมไว้มาใช้ ชีวิตก็เดินหน้าต่อได้แบบสบาย ๆ ค่ะ
เลือกซื้อ อุปกรณ์ไฟฟ้า เพิ่มเติม