Customers Also Purchased
ทุกวันนี้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้ถูกพัฒนาขึ้นแบบก้าวกระโดดจนหลาย ๆ สิ่งที่เคยแพร่หลายก็อาจถูกแทนที่ไปโดยอะไรที่ดีกว่า เครื่องมือช่างก็ไม่เว้นครับ ในปัจจุบันเครื่องมือไฟฟ้าที่สะดวกกว่า เร็วกว่า แรงกว่า กลายเป็นของหลักของใครหลายคน ทั้งมืออาชีพ และพ่อบ้าน แม่บ้านยุคใหม่หัวใจช่าง แต่เมื่อมองลึกลงไป สิ่งที่เห็นอาจไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป เช่น บล็อกลม ที่ยังแพร่หลาย ในอู่ และอุตสาหกรรม คำถามคือถ้าบล็อกไฟฟ้าดีกว่า ง่ายกว่า ทำไมเรายังเห็นบล็อกลมอยู่แทบทุกที่?
จริงครับที่ทุกวันนี้เวลาเดินเข้าร้านขายเครื่องมือ หรือเลื่อนดูผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เราจะเห็นเครื่องมือไฟฟ้าไร้สายเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นสว่านไร้สาย เลื่อยวงเดือนไร้สาย ไปจนถึงบล็อกไร้สาย หรือบล็อกไฟฟ้า หลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า “แล้วเครื่องมือย่าง บล็อกลม ยังมีที่ยืนอยู่ไหม?” คำตอบคือ “ในหลาย ๆ งาน บล็อกลมก็ไม่ได้หนีไปไหน” แต่ทำไมล่ะ?
ในฐานะคนที่กำลังศึกษาเรื่องเครื่องมือ และได้พูดคุยกับช่างตัวจริง ผมเองก็สงสัยเหมือนกันครับ จนได้ลองถาม ลองจับ ลองใช้งาน และเก็บประสบการณ์มาถ่ายทอดในบทความนี้ มาลองดูกันครับว่าบล็อกลม ในยุคของเครื่องมือไฟฟ้ายังน่าใช้อยู่ หรือไม่ ? และถ้าเทียบกับบล็อกไร้สายแล้ว อะไรดีกว่ากัน ?
แนะนำ บล็อกลม คร่าว ๆ
บล็อกลมทำงานด้วยแรงดันลมจากปั๊มลม ใช้ขันน็อต หรือคลายน็อตที่แน่น ๆ ในยุคที่เครื่องมือไร้สายยังไม่เฟื่องฟู บล็อกลม คือหนึ่งในอุปกรณ์หลักของอู่ซ่อมรถ โรงงาน และงานก่อสร้างแทบทุกที่ จนปัจจุบันก็ยังสามารถพบเห็นอยู่อย่างแพร่หลาย แม้บล็อกไฟฟ้าเข้าตลาดมานานหลายปีแล้ว
แล้วบล็อกไฟฟ้าล่ะ ทำไมถึงมาแรง?
ในช่วง10-15 ปี มานี้ บล็อกไฟฟ้า เริ่มได้รับความนิยมแบบก้าวกระโดด ด้วยเทคโนโลยีแบตเตอรี่ลิเธียมที่พัฒนาเร็วขึ้น แรงบิดสูงขึ้น น้ำหนักเบาลง และพกพาสะดวก ไม่ต้องง้อปั๊มลม หรือสายลมให้เกะกะ แถมยังให้แรงที่เทียบเท่า หรือมากกว่าระบบลมได้อีกด้วย
บล็อกลม vs บล็อกไฟฟ้าไร้สาย ใครเหนือกว่ากันแน่?
ก่อนจะเจาะลึกข้อดีข้อเสียของเครื่องมือทั้งสองชนิดนี้ ผมแชร์มุมของคนที่กำลังศึกษาเครื่องมือ และคอยถามช่างเสมอ เวลาไปอู่ เพราะทุกครั้งที่ได้มีโอกาสไป ผมก็มักจะได้ยินเสียงถกเถียงระหว่างช่างรุ่นเก่ากับช่างรุ่นใหม่ บางคนยืนยันว่าบล็อกลมคือของแท้ดั้งเดิม ใช้งานได้ทนทาน และแรงบิดไม่มีตก ขณะที่อีกฝ่ายก็เชียร์บล็อกไฟฟ้าไร้สายเต็มที่ บอกว่าสะดวก และคล่องตัวกว่าแบบลมเยอะ
หลายครั้งการคุยก็ยืดออกไปจนเหมือนเป็นบทโต้วาทีเล็ก ๆ ซึ่งก็ทำให้ผมเริ่มสนใจ และอยากหาคำตอบด้วยตัวเองว่าตกลงแล้ว แบบไหนกันแน่ที่เหมาะกับงานจริง คำตอบที่เหมือนจะง่ายนั้นกลับไม่ง่ายเลยครับเพราะมันขึ้นอยู่กับทั้งลักษณะงาน พื้นที่ทำงาน ไปจนถึงงบประมาณของผู้ใช้ วันนี้เลยอยากมาลองเปรียบเทียบเครื่องมือทั้งสองนี้ เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพครบถ้วนมากขึ้น และทำให้ช่วยตัดสินใจได้ง่าย และรอบคอบขึ้นครับ
1. เรื่องแรงบิด
ถ้าเปรียบเทียบกันตรง ๆ บล็อกลม ยังคงได้เปรียบในเรื่องการให้แรงบิดที่สม่ำเสมอต่อเนื่อง และมักให้แรงบิดที่สูงกว่าช่วงขนาดและราคาเท่ากัน เพราะพลังงานจากปั๊มลมสามารถจ่ายได้เรื่อย ๆ ไม่มีตก ใช้งานต่อเนื่องหลายชั่วโมงก็ไม่มีปัญหา
ในขญะเดียวกัน บล็อกไร้สาย ที่พัฒนาเร็วมากในช่วงหลัง รุ่นเล็ก ๆ ขนาด 1/2 นิ้ว สามารถให้แรงบิดระดับ 300 กว่า ๆ นิวตันเมตร เทียบเท่า หรือใกล้เคียงกับบล็อกลมแล้ว ส่วนรุ่นงานหนัก บล็อกไฟฟ้า ก็ยังมีรุ่นที่ให้แรงบิด 1000 นิวตันเมตรขึ้นไป
ถ้าถามผมว่าอันไหนดีกว่าในด้านแรงบิด? เรื่องพลังดิบ บล็อกลบชนะขาดครับ บล็อกไฟฟ้ายังมีข้อจำกัดคือแบตเตอรี่จะหมดเร็วถ้าใช้งานต่อเนื่อง ดังนั้นงานที่ต้องขันน็อตล้อรถทั้งวัน บล็อกลมยังตอบโจทย์มากกว่า จึงเป็นเหตุผลที่อู่ยังใช้กันถึงทุกวันนี้
2. ความสะดวก
ในแง่ความสะดวก บล็อกไร้สายกินขาดครับ ไม่ต้องลากสาย ไม่ต้องติดตั้งปั๊มลม หยิบขึ้นมาก็กดใช้ได้เลย เหมาะกับงานหน้างานก่อสร้าง หรือซ่อมรถนอกสถานที่ แต่ถ้าเป็นอู่ซ่อมที่มีระบบลมอยู่ แล้ว บล็อกลมก็ไม่ได้เป็นภาระอะไรนัก เพราะต่อสายแล้วใช้งานต่อเนื่องได้เลย
3. ความทนทานและการดูแล
- บล็อกลม: มีโครงสร้างเรียบง่ายมาก ไม่มีวงจรไฟฟ้า มีแค่ชิ้นส่วนกลไกโลหะ เวลาซ่อมก็ไม่ซับซ้อน แค่หยอดน้ำมัน หล่อลื่นสม่ำเสมอ และหมั่นดูแลปั๊มลมให้อยู่ในสภาพดี ก็ใช้งานได้เป็นสิบปีครับ
- บล็อกไร้สาย: มีข้อดีตรงที่ไม่ต้องพึ่งพาปั๊มลม แต่ต้องดูแลแบตเตอรี่ เช่น หลีกเลี่ยงการปล่อยให้แบตหมดนาน ๆ และต้องเตรียมงบเปลี่ยนแบตใหม่ทุก ๆ 3–5 ปี ซึ่งเป็นต้นทุนแฝงที่หลายคนอาจมองข้าม
4. ราคาและการลงทุน
หลายคนเข้าใจว่า บล็อกลม ถูกกว่า แต่จริง ๆ ถ้าเริ่มจากศูนย์ ต้องซื้อปั๊มลม สายลม และอุปกรณ์เสริมอีก ราคาก็พอ ๆ กับการซื้อบล็อกไร้สายพร้อมแบต 2 ก้อนเลยครับ ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น:
บล็อกลมที่ตัวเครื่องราคา 2,000–4,000 บาท บวกกับปั๊มลมดี ๆ อีก 5,000–7,000 บาท รวมแล้วก็เกิน 7,000–10,000 บาท
ขณะที่บล็อกไร้สายชุดเต็มรวมแบต ราคาก็อยู่ราว 7,000–9,000 บาท ต่างกันที่ว่าใครมีระบบไหนอยู่แล้ว ถ้ามีปั๊มลมอยู่แล้ว บล็อกลมก็ถือว่าคุ้มมากครับ แต่ถ้าไม่มีอะไรเลย บล็อกไร้สายอาจถูกกว่าเล็กน้อย
5. งานที่เหมาะสม
- บล็อกลม: เหมาะกับงานอุตสาหกรรม อู่ซ่อมใหญ่ และงานหนักที่ต้องใช้แรงบิดสูงต่อเนื่อง
- บล็อกไร้สาย: เหมาะกับงานซ่อมทั่วไป งานหน้างานที่ต้องเคลื่อนย้ายเครื่องมือบ่อย หรือคนที่ต้องการความคล่องตัวมากกว่าแรงบิดต่อเนื่อง เช่น งานซ่อมนอกสถานที่ งานก่อสร้างที่ต้องขึ้นบันได

บล็อกลม น้ำหนักเบากว่าจริงไหม?
ผมได้ทำการหาข้อมูลบนโลกออนไลน์ก่อนที่จะได้สัมผัสเครื่องมือจริง หลายเว็บไซต์มักจะบอกว่าบล็อกลมเบากว่าเพราะไม่ต้องมีแบตเตอรี่ติดอยู่ แต่พอได้ลองจับบล็อกลมจริง ๆ รู้สึกเลยว่า “เฮ้ย! มันหนักกว่าที่คิด” โดยเฉพาะรุ่นที่ตัวเครื่องเป็นโลหะทั้งตัว น้ำหนักมันชัดเจนกว่าที่คนรีวิวในเน็ตเล่าไว้เยอะ การได้ลองด้วยตัวเองทำให้เห็นความจริงว่า ไม่ใช่ทุกครั้งที่บล็อกลมจะเบากว่าไร้สายเสมอไป
สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้รู้สึกหนักกว่าก็เพราะวัสดุที่ใช้ผลิตตัวเครื่องครับ บล็อกลมหลาย ๆ รุ่นเลือกใช้โครงสร้างเหล็กเกือบทั้งตัวเพื่อความทนทาน และเพื่อรับแรงกระแทกไ ซึ่งต่างจากบล็อกไร้สายรุ่นใหม่ ๆ ที่เริ่มใช้วัสดุผสมพลาสติก น้ำหนักเลยเบากว่ามากเมื่อถือใช้งานจริง
อีกอย่างที่หลายคนมักไม่พูดถึงก็คือ การถ่วงน้ำหนักในตัวเครื่อง บล็อกลมออกแบบมาให้รองรับแรงบิดสูงต่อเนื่อง การใช้ชิ้นส่วนโลหะเต็มรูปแบบช่วยให้สมดุลเวลาขันน็อตไม่เสียไปง่าย แต่ผลข้างเคียงคือการถือใช้งานนาน ๆ ทำให้เมื่อยมือ และรู้สึกหนักกว่าที่คิดครับ
สุดท้าย ปัจจัยจากการใช้งานจริงก็มีผลมาก เวลาผมลองจับบล็อกลมในอู่ รู้สึกได้เลยว่าน้ำหนักไม่ได้อยู่แค่ที่ตัวเครื่อง แต่รวมถึงสายลมที่ต่อพ่วงมาด้วย ทำให้ความคล่องตัวลดลง ต่างจากบล็อกไร้สายที่แม้จะมีแบตเตอรี่ต่อเข้ามา หรือระบบมอเตอร์ไฟฟ้าที่ซับซ้อนกว่ากลไกลม แต่พอถือใช้งานกลับรู้สึกว่ามันบาลานซ์ และเบากว่าที่คิด
ประสบการณ์ที่ได้ลองด้วยตัวเอง
ตอนที่ผมได้ลองใช้บล็อกลมครั้งแรก เป็นงานขันน็อตล้อรถกระบะ รู้สึกได้เลยว่ามัน “สะใจ” มาก กดปุ๊บ น็อตคลายปั๊บ แรงมาเต็มไม่มีตก บวกกับโครงที่ทำจากโลหะ ทำให้สัมผัสได้ถึงพลัง
แต่ในอีกงานหนึ่งที่ต้องขึ้นไปขันน็อตบนโครงเหล็กชั้นสองของไซต์งาน ผมเลือกหยิบบล็อกไร้สายแทน เพราะถ้าใช้บล็อกลม ต้องลากสายขึ้นไปบนที่สูงซึ่งเสี่ยงและเกะกะมาก นี่คือจุดที่บล็อกไร้ไฟฟ้าชนะขาดครับ
เปรียบเทียบราคาตลาด
- บล็อกลม 1/2 นิ้ว ของแบรนด์ทั่วไป เช่น PUMA Aeropro ราคาประมาณ 2,000–5,000 บาท
- บล็อกไร้สาย 1/2 นิ้ว จากแบรนด์เดียวกัน ราคาชุดพร้อมแบต 2 ก้อนอยู่ราว 7,000–10,000 บาท
- บล็อกลมขนาดใหญ่ 3/4 นิ้ว – 1 นิ้ว ราคาขึ้นไปที่ 6,000–15,000 บาท เหมาะกับงานรถบรรทุกหรือเครื่องจักร
- บล็อกไร้สายเกรดโปร เช่น Milwaukee, Makita ราคาชุดละ 12,000–20,000 บาทขึ้นไป
จากที่เห็นชัดเจนคือ ถ้ามีปั๊มลมอยู่แล้ว การซื้อบล็อกลมเพิ่มนั้นประหยัด แต่ถ้าเริ่มจากศูนย์ บล็อกไร้สายก็ไม่ต่างเรื่องราคา แถมพกสะดวกกว่า
บล็อกลม ยังมีที่ยืนไหม?
มาถึงตรงนี้แล้ว หลายคนอาจสงสัยว่า ในปัจจุบันที่เทคโนโลยีไร้สายมาไกลขนาดนี้ และในอนาคตบล็อกลมจะยังมีที่ยืนไหม? ในเมื่อบล็อกลม และบล็อกไฟฟ้า ต้นทุนก็คล้าย ๆ กัน
คำตอบคือ ยังมีแน่นอนครับ แต่เป็นที่ยืนที่ชัดเจนขึ้น ไม่ได้กินตลาดกว้างเหมือนสมัยก่อน บล็อกลมยังคงเหมาะกับอู่ซ่อมใหญ่ ๆ โรงงานอุตสาหกรรม และงานเฮฟวี่ดิวตี้ที่ไร้สายยังไม่ตอบโจทย์ ส่วนบล็อกไร้สายก็มาแรงในงานทั่วไป งานซ่อมรถเล็ก หรือการใช้งานที่ต้องการความสะดวก

สรุป
ในยุคที่เครื่องมือไฟฟ้าไร้สายกำลังครองตลาด บล็อกลม ไม่ได้หายไปไหน แต่ถูกย้ายไปยืนอยู่ในจุดที่ชัดเจนขึ้น มันยังคงเป็นเครื่องมือที่ช่างมืออาชีพ และสายงานหนักเลือกใช้ ด้วยความทนทาน และแรงบิดต่อเนื่อง ขณะที่บล็อกไฟฟ้าไร้สายนั้น ผลิตมาเพื่อตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ต้องการความสะดวก และความคล่องตัว
สุดท้ายแล้วการจะเลือกใช้บล็อกที่ใช่นั้นไม่ใช่เรื่อง “อะไรดีกว่ากัน?” แต่เป็นเรื่องของ “งานแบบไหน เหมาะกับอะไร?” มากกว่า และนั่นแหละครับ คือเสน่ห์ของการเลือกเครื่องมือ ไม่มีคำตอบตายตัว แต่มีคำตอบที่ใช่สำหรับคุณ