Customers Also Purchased
เครื่องเป่าลม เป็นหนึ่งในของคู่ใจช่าง และเหมาะกับงานหลาย ๆ งาน เรียกได้ว่ามีความอเนกประสงค์เสียจนหลาย ๆ คน อยากซื้อมาไว้ติดบ้านครับ แม้จะเป็นเครื่องมือไฟฟ้าธรรมดา ๆ น้ำหนักเบา กำลังไม่สูงเท่าเครื่องเป่าใบไม้ โดยรุ่นที่ใช้แบตเพียง 12-18V ก็สามารถเป่าเศษผงที่สะสมบนโต๊ะ หรือบนเครื่องมือ ในห้องที่ตัดไม้ทั้งวันได้เกลี้ยงหมดจน ในเวลาไม่ถึง 5 นาที!
แต่ด้วยกำลังที่มากเกินตัวนี้ เครื่องเป่าลมก็มาพร้อมกับ “ปัญหาเสียง” ที่คนใช้หลาย ๆ คนอาจมองข้ามแต่ส่งผลกับเราโดยตรง ในทุก ๆ ครั้งที่ใช้งาน มันไม่ใช่แค่สร้างเสียงรบกวนนะครับ แต่มันอาจส่งผลถึงร่างกายโดยตรง
ผมยังจำครั้งแรกที่ได้ยินเสียงเครื่องเป่าลมทำงานเลยครับ มันดังสนั่นจนรู้สึกว่าต้องพูดเสียงแข่งเพื่อให้คนข้าง ๆ ได้ยิน แล้วถ้าใช้ตอนกลางคืน ที่คนต้องการพักผ่อน หรือเช้าวันอาทิตย์ ที่เพื่อนบ้านยังไม่ตื่น….เลือกเวลาอื่น น่าจะดีกว่านะครับ
หลายคนอาจคิดว่า “แค่เสียงดังนิดหน่อย ไม่เป็นไรหรอก” แต่บางครั้ง ทำงานเสร็จ ปิดเครื่องผ่านไปสอง-สามนาที ก็ยังรู้สึกว่าหูมีเสียง “วี้ด–วี้ด” ค้างอยู่ ผมจึงมีคำถามผุดขึ้นมาในหัวว่า “แล้วเสียงดังเท่านี้มันมีอันตรายอะไรแฝงไหม? มันส่งผลกระทบอะไร?” จนได้กลับไปดูคำเตือนบนเครื่องมือที่ระบุไว้ชัด ๆ เลยว่า แนะนำให้ใส่ที่อุดหู! “ทำไมกันล่ะ?” ในบทความนี้ เราจะมาหาคำตอบกันครับ
เสียงของ เครื่องเป่าลม ดังแค่ไหน?
เสียงดังของเครื่องเป่าลมนั้นเกิดขึ้นจากหลักการทำงาน ของมอเตอร์ความเร็วสูงที่หมุนพัดลมอย่างรวดเร็ว เพื่อผลักลมออกอย่างต่อเนื่อง ยิ่งกำลังมอเตอร์สูง และรอบหมุนมากเท่าไร เสียงที่เกิดขึ้นก็จะยิ่งทุ้ม และกระแทกหูมากขึ้นเท่านั้น
ถ้าใช้งานต่อเนื่องโดยไม่มีการป้องกัน ไม่ใช่แค่จะส่งผลเสียต่อการได้ยินนะครับ แต่ยังอาจกระตุ้นให้ร่างกายเกิดความเครียด เกิดอาการปวดหัว ความดันโลหิตสูง และทำให้สมาธิลดลงได้ ความล้าทางการได้ยินนี้ ยังอาจทำให้คุณไม่ทันสังเกตว่าหูของคุณกำลังรับภาระเกินขีดจำกัดอีกด้วย
ระดับเสียง เครื่องเป่าลม (โดยประมาณ)
- รุ่นไร้สายขนาดเล็ก 12–18V (เช่น Milwaukee M12, Makita 12V) : ประมาณ 80–90 dB
- รุ่นไร้สายขนาดกลาง–ใหญ่ (เช่น Makita DUB186, Makita 40V, Kyocera 18V) : ประมาณ 90–100 dB ดังเท่าเครื่องตัดหญ้า หรือเลื่อยวงเดือน
- รุ่นไฟฟ้ามีสายกำลังสูง (เช่น Bosch GBL 650, Makita M4000B, PUMA PM-256B) : ประมาณ 95–105 dB เสียงดังใกล้เคียงเครื่องเจียร
หมายเหตุ: ค่าระดับเสียงนี้เป็นการประเมินจากสเปก และลักษณะการใช้งานทั่วไป อาจแตกต่างตามสภาพแวดล้อม ระยะห่าง และการตั้งค่าของเครื่อง
เดซิเบลระดับไหน ถึงเป็นอันตราย?
ก่อนเปรียบเทียบตัวเลข ผมขอชวนมาดูเกณฑ์สากลด้วยกันสักนิดนึงครับ แนวทางขององค์การอนามัยโลก (WHO) ว่าด้วยสุขภาพการได้ยิน และมลพิษทางเสียงชี้ว่า การสัมผัสเสียงต่อเนื่องราว 85 dB ไม่ควรเกินประมาณ 8 ชั่วโมง/วัน และทุก ๆ การเพิ่มขึ้น 3 เดซิเบล เวลาที่ปลอดภัยจะ ลดลงครึ่งหนึ่ง แต่ถ้าเป็นเสียงสั้น ๆ แบบกระแทก หรือแหลมจัดใกล้ 100 dB(A) ควรหลีกเลี่ยง หรือสวมอุปกรณ์ป้องกันอย่างเคร่งครัด ยิ่งในพื้นที่ปิดที่เสียงก้องสะท้อน นอกจากนี้ ระยะห่างจากเครื่อง และการหุ้มครอบตัวเครื่องก็มีผลต่อความเสี่ยงจากเสียงจริง ๆ ด้วย
70 เดซิเบลขึ้นไป: เริ่มมีผลต่อการได้ยินถ้าฟังต่อเนื่องหลายชั่วโมง
- ตัวอย่างเสียง: เครื่องดูดฝุ่นแรงสูง, การจราจรในเขตเมือง, ร้านอาหารที่คนหนาแน่น
- แนวทาง: เว้นพักหู 5–10 นาทีทุกชั่วโมง, ลดรอบพัดลม หรือใช้หัวเป่าที่จำกัดกระแสลมเพื่อลดเสียง, ลดเสียงก้องด้วยการปิดประตู–หน้าต่างที่สะท้อนเสียง หรือเสริมวัสดุดูดซับเสียง
85 เดซิเบลขึ้นไป: เสี่ยงต่อการสูญเสียการได้ยินถ้าไม่มีการป้องกัน
- ตัวอย่าง: เครื่องเป่าลมกำลังกลาง–สูงหลายรุ่น, เลื่อยวงเดือน, ปั๊มลมลูกสูบ
- แนวทาง: สวมที่อุดหู/ที่ครอบหูทุกครั้ง, จำกัดเวลาการใช้งานต่อเนื่อง, เว้นระยะจากกำแพงหรือพื้นแข็งที่ทำให้เสียงก้องสะท้อน

ผลกระทบที่คุณอาจไม่ทันสังเกต จากเสียง เครื่องเป่าลม
คุณคงจะเห็นภาพแล้วใช่ไหมครับว่า เครื่องเป่าลม ที่หลายๆ คนก็หยิบขึ้นมาช่วยเป่าฝุ่น เป่าใบไม้ที่ระเบียงบ้าน ไม่กี่นาที แม้จะไม่ไช่เครื่องตัด ขัด เจียร ที่เสียงดังอยู่แล้ว ก็สามารถสร้างระดับเสียงเทียบเท่ากับเครื่องมือเหล่านี้ได้
ดังนั้น ใครที่คิดว่า “เครื่องเป่าลม ไม่ต้องป้องกันมากหรอก” ลองจินตนาการแบบนี้ดูครับว่า แค่เจอมอเตอร์ไซค์เสียงท่อดัง ๆ บนถนน อยู่ห่างจากคุณเป็นเมตร บางครั้ง ไม่ใช่แค่ทำให้หูอื้อ แต่ยังทำให้ปวดหัวจี๊ดขึ้นมาได้ แต่เวลาคุณใช้เครื่องเป่าลม คุณถือมันไว้กับมือ อยู่ประชิดตัวตลอดเวลาที่ต้องใช้งาน แบบนี้ ไม่ส่งผลกับคุณมากกว่าเดิมอีกเหรอ?
สัญญาณเตือนจากร่างกาย
หลายคนอาจใช้เครื่องเป่าลมจนชินกับเสียงดัง ๆ เหมือนเป็นเรื่องปกติ แต่บอกเลยว่าร่างกายเรานี่แหละ ไม่เคยชินด้วยหรอกครับ มันจะคอยส่งสัญญาณเตือนเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เรารู้ตัวอยู่เสมอ เพียงแต่บางทีเราอาจไม่ได้ใส่ใจเท่านั้นเอง ถ้าหลังใช้งาน แล้วเริ่มมีอาการเหล่านี้เมื่อไหร่ บอกได้เลยว่าหูของคุณกำลังทำงานหนักเกินไปแล้ว
- หูอื้อหลังใช้งาน: ถ้าใช้เครื่องเป่าลมเสร็จแล้วรู้สึกเหมือนเสียงรอบตัวเบาลง หรือเหมือนมีอะไรอุดอยู่ในหู นั่นแหละครับ สัญญาณว่าหูเราเพิ่งเจอเสียงดังเกินพิกัด
- ได้ยินเสียงวิ้งในหู: เสียง “วิ้ง” หรือ “ซ่า” ที่ได้ยินแม้ปิดเครื่องไปแล้ว คือสัญญาณเตือนจากร่างกายว่า หูเราเพิ่งโดนเสียงเล่นงานแรงเกินไป
- ปวดหัว หรือเครียด: ใช้เครื่องเป่าลมไปนาน ๆ แล้วรู้สึกตึง ๆ ที่ขมับ หรือหงุดหงิดง่าย อาจเป็นเพราะเสียงดังไปกระตุ้นความเครียดโดยไม่รู้ตัว
- สมาธิหลุดง่าย: ถ้าระหว่างทำงานรู้สึกว่าสมองล้า คิดอะไรไม่ค่อยออก ก็มีโอกาสสูงว่าเสียงจากเครื่องเป่าลมกำลังดึงพลังงานสมองเราไปกรองเสียงรบกวนอยู่
เครื่องเป่าลม กับมลภาวะทางเสียง
เสียงเครื่องเป่าลมไม่ได้กระทบแค่ผู้ใช้งานเท่านั้นนะครับ เครื่องเป่าลมยังสามารถส่งเสียงรบกวนออกไปไกลหลายเมตร ทำให้เพื่อนบ้านรู้สึกรำคาญ และอาจรบกวนการพักผ่อน หรือการทำงานของผู้อื่น
เครื่องเป่าลมอาจเป็นเครื่องมือช่างที่หลายคนคุ้นเคย ทั้งใช้เป่าเศษฝุ่นในโรงงาน หรืองานซ่อมบำรุงเครื่องจักร แต่รู้ไหมว่า “เสียง” ที่มันสร้างขึ้นมานั้น ไม่ได้จบแค่ความรำคาญ แต่ยังเกี่ยวพันกับปัญหาสุขภาพ และเป็นหนึ่งในตัวการสำคัญของมลภาวะทางเสียงในหลายพื้นที่
มลภาวะทางเสียง ไม่ได้หมายถึงเสียงดังเพียงชั่วขณะ แต่คือเสียงที่รบกวนการใช้ชีวิตของคน และสัตว์อย่างต่อเนื่อง และเสียงเครื่องเป่าลมก็อยู่ในกลุ่มเสียงที่มักถูกมองข้าม ทั้งที่ผลกระทบอาจรุนแรงกว่าที่คิด
เสียง เครื่องเป่าลม ในพื้นที่ชุมชน
ในพื้นที่ชุมชน เสียงดังจากเครื่องเป่าลมสามารถกลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่กระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนบ้านได้อย่างง่ายดาย ตัวอย่างเช่น การใช้งานในช่วงเช้าตรู่ที่รบกวนการนอนหลับ
กฎหมาย และข้อบังคับเกี่ยวกับระดับเสียง
ในบางพื้นที่ อาจมีกฎหมาย หรือข้อบังคับเฉพาะที่กำหนดค่าระดับเสียงสูงสุดที่อนุญาตให้ใช้งานเครื่องมือ หรือเครื่องจักรกลางแจ้ง รวมถึงเครื่องเป่าลม หากเสียงเกินค่ามาตรฐานที่กำหนด คุณอาจได้รับการตักเตือน หรือถูกปรับเป็นเงิน ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการรบกวนผู้อื่น และรักษาสภาพแวดล้อมให้สงบสุข
ไม่ใช่แค่คน สัตว์ก็ได้รับผลกระทบ
สัตว์เลี้ยง และสัตว์ป่าหลายชนิดมีประสาทการได้ยินไวกว่ามนุษย์อย่างเรามาก เสียงเครื่องเป่าลมที่มีความถี่ และความดังสูงอาจทำให้สัตว์เกิดความตกใจจนแสดงพฤติกรรมผิดปกติ เช่น วิ่งหนีอย่างรวดเร็ว หยุดกินอาหาร หรือซ่อนตัวเป็นเวลานาน
ลดเสียงรบกวนง่าย ๆ
- เลือกเวลาใช้งานที่เหมาะสม เช่น ช่วงกลางวัน แทนเช้า หรือดึก
- ใช้รุ่นที่มีเทคโนโลยีลดเสียง เพื่อให้การทำงานเงียบลง
- แจ้งเพื่อนบ้านล่วงหน้า หากจำเป็นต้องใช้งานในเวลาที่อาจรบกวน
เสียงจาก เครื่องเป่าลม ป้องกันได้ง่าย ๆ
เราพูดถึงผลกระทบของเสียงเครื่องเป่าลมต่อเพื่อนบ้าน และสภาพแวดล้อมโดยรวมไปแล้ว วิธีแก้ง่าย ๆ คือการเลือกใช้ให้ถูกเวลา แจ้งเพื่อนบ้านล่วงหน้า หรือหาจากแบรนด์ที่ไว้ใจได้ และเทคโนโลยีล่าสุด แต่เมื่อมาถึงตัวผู้ใช้เอง คุณอาจยังมีคำถามว่า “แล้วคนที่ใช้งานเครื่องเป่าลมล่ะ จะป้องกันผลกระทบจากเสียงได้ยังไงบ้าง?” จริง ๆ แล้ว การป้องกันตัวเองจากเสียงเครื่องเป่าลมนั้นง่ายกว่าที่หลายคนคิดเยอะเลยครับ
คุณสามารถทำตามหลักขององค์การอนามัยโลก ที่ว่าเสียงต่อเนื่องในระดับ 80–100 dB ต้องมีการป้องกัน เช่น การใช้ที่ครอบหู หรือที่อุดหู ซึ่งถือเป็นมาตรฐานความปลอดภัยในงานช่างอยู่แล้ว
แม้เสียงดังจากเครื่องเป่าลมสามารถสะสมจนทำลายประสาทหูแบบถาวรได้ การป้องกันนั้นก็ทำได้ง่าย ๆ แค่ใช้อุปกรณ์ และพักการใช้งานเป็นช่วง ๆ ให้หูได้ฟื้นตัว ก็ช่วยลดความเสี่ยงต่ออาการหูอื้อ หรือเสียงวิ้งรบกวนในหูได้มาก แล้วครับ
สรุป
ถึงคุณจะรู้จักประโยชน์ของเครื่องเป่าลมดีแค่ไหน และใช้งานมันบ่อยยังไง ก็อย่าลืมนะครับว่า แม้จะไม่ใช่เครื่องมือที่สัมผัสกับวัสดุโดยตรงอย่างสว่านเจาะ หรือมีใบที่แหลมคมอย่างเลื่อยไฟฟ้า และเครื่องตัดคอนกรีด เครื่องเป่าลมก็เป็นเครื่องมือที่ใช้มอเตอร์รอบสูง และส่งเสียงที่ดังในระดับที่เป็นอันตรายได้
แม้จะดูเหมือนไม่มีอะไร เมื่อใช้งานเพียงระยะสั้น แต่ผลกระทบจากเสียงดังนี้สามารถติดตัวเราไปตลอดชีวิต และยังอาจเสี่ยงมากกว่าลมที่เป่าแรงจนฝุ่นกระจาย นอกจากนี้ เสียงที่กระแทกแก้วหูทุกครั้งที่ใช้งานยังอาจรบกวนเพื่อนบ้าน และสร้างปัญหาทางสังคมตามมาได้
เพราะฉะนั้น ถ้ายังอยากใช้ เครื่องเป่าลม ไปอีกหลายปี คุณควรใส่ใจเรื่องการป้องกันตัวเองจากเสียง และลดการรบกวนตั้งแต่วันแรกที่ใช้ครับ