Customers Also Purchased
เคยมองบ้านตัวเองแล้วรู้สึกว่า... “บ้านมันดูเก่าไปไหมนะ” อยากให้ดูใหม่กว่านี้จัง คงไม่ได้ถึงขั้นอยากจะรีโนเวทอลังการอะไรขนาดนั้น แค่อยากลองทาสีใหม่ให้มันดูสะอาดขึ้น ใหม่ขึ้น แค่นั้นมันก็คงดูดีขึ้นเยอะเลย ด้วยเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนในสมัยนี้ อะไรประหยัดได้มันก็ดีทั้งนั้นแหละใช่ไหมละ แต่…ปัญหาคือ “แล้วควรเริ่มต้นยังไงดี” “ต้องซื้อ ต้องเตรียม อุปกรณ์ อะไรบ้าง” จนบางทีนึก ๆ แล้วมันก็ดู เยอะ ยุ่งยาก วุ่นวายจนไม่อยากทำแล้ว คิดจะจ้างช่างก็แพง แต่ไม่ต้องห่วง วันนี้เรารวบรวมคำแนะนำง่าย ๆ มาเล่าให้ฟัง รับรองว่า ต่อให้คุณเริ่มจาก 0 ก็ทำได้แน่นอน
สำรวจตัวเองก่อน “พร้อม” แค่ไหน
อย่าเพิ่งรีบหยิบแปรง เปิดถัง หรือเล็งผนังไว้ในใจ เพราะการจะทาสีให้ดีนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ เฉดสีที่คุณเลือก แต่มันเริ่มตั้งแต่คำว่า “คุณพร้อมหรือยัง” คำว่าพร้อมไม่ได้หมายถึงแค่ร่างกายของคุณเองเท่านั้นนะ แต่มันรวมถึงเวลาที่คุณมี ความเข้าใจพื้นผิวบ้าน และความตั้งใจจะทำให้จบ ไม่ใช่แค่ทำให้เริ่มเท่านั้น ก่อนจะเริ่มลงมือลงสี ลองตอบคำถาม 4 ข้อนี้ให้ชัด ๆ ก่อน เพราะมันจะช่วยให้คุณไม่เสียเงิน เสียแรง หรือเสียใจในตอนท้าย
1. คุณแค่อยาก “เปลี่ยนสี” หรือ “แก้ปัญหาผนัง”?
- ถ้าแค่เบื่อสีเดิม → งานง่าย
- ถ้าผนังมีรอยแตกร้าว สีลอก หรือราขึ้น → ต้องแก้ก่อน
- ผนังที่มีปัญหาแล้วทาทับเลย = ปัญหาเดิมจะกลับมาเร็วกว่าเดิม
รู้ก่อนว่า “คุณแค่แต่งหน้าให้บ้าน” หรือ “ต้องรักษาผิว” ก่อนลงสี?
2. คุณรู้ไหมว่าสีเดิมบนผนัง “รองพื้นมาแบบไหน”?
(และจำเป็นไหมที่คุณต้องรองพื้นใหม่อีก?)
- ถ้าผนังเก่าทาด้วย “สีถูก+ไม่มีรองพื้น” → สีใหม่เกาะไม่อยู่
- ถ้าสีเดิมลอกง่าย ใช้เทปแปะแล้วลอก = ต้องรองพื้นใหม่
- ทาสีใหม่ทับสีเก่าแบบไม่มีรองพื้น = เปลืองสีและหลุดง่าย
สีรองพื้น นั้นมักเป็นสิ่งสำคัญที่ถูกลืม
3. คุณมี ”เวลา” ให้สีแห้งไหม
- ทาสีดี ๆ ต้องรอแห้งระหว่างชั้น 2 – 4 ชั่วโมง
- ถ้าเร่งทาทับเร็ว สีจะด่าง ลอกง่าย และผิวไม่เนียน
- ถ้าทาตอนกลางคืนหรืออากาศชื้น → สีมักจะแห้งช้า
4. คุณมี “แรง + ใจ” ทำจนจบไหม?
- ทาผนัง 1 ด้าน = 1 – 2 ชั่วโมงโดยเฉลี่ย
- ห้องเล็ก ๆ ต้องใช้เวลา 1 วัน (รวมขนของ, ทา, รอแห้ง, เก็บงาน)
- ถ้าไม่เคยทำ → เหนื่อยมากช่วงชั่วโมงที่ 3–4
คนที่เริ่มแบบ “สนุก ๆ” มักหยุดกลางทาง ถ้าไม่ได้เตรียมใจก่อน
“การทาสีบ้านไม่ได้ยากเกินไป แต่ก็ไม่ได้ง่ายแบบหยิบแปรงแล้วทาได้เลย”
อุปกรณ์ทาสี ที่ “ควรมี” ก่อนเริ่มทา
อย่าพึ่งรีบเดินเข้าร้านสีแล้วเหมาอุปกรณ์มาทั้งชั้น หลายคนมักตกม้าตายตรงนี้ เพราะซื้อของเกินจำเป็น หรือบางอย่างลืมซื้อ แล้วต้องวิ่งกลับไปใหม่ให้เหนื่อยสองรอบ เอาแบบง่าย ๆ เลยนะ ถ้าคุณตั้งใจจะทาสีห้องนอน ผนังห้องรับแขก หรือผนังปูนทั่วไปในบ้าน แค่มีของพวกนี้ครบก็เริ่มงานได้เลย ไม่ต้องเวอร์วังอะไร
ลูกกลิ้งทาสี ขนาดกลาง (7–9 นิ้ว)
เลือกขนลูกกลิ้งแบบ “ขนสั้น–กลาง” จะเหมาะกับผนังเรียบมากกว่า ถ้าอยากทาพื้นที่สูงโดยไม่ต้องขึ้นบันได หาด้ามต่อเพิ่มไว้ด้วย จะช่วยให้ทาเพดานได้สบายขึ้นมาก
แปรงทาสี ขนาด 1–2 นิ้ว
ไว้ใช้ในจุดที่ลูกกลิ้งเข้าไม่ถึง เช่น ขอบหน้าต่าง มุมห้อง หรือซอกแคบต่าง ๆ แนะนำแบบขนไนลอนหรือขนสังเคราะห์ บังคับทิศทางง่ายและไม่กินสีมาก
ถาดสี (พร้อมร่องรีดสี)
หลายคนมองข้ามจุดนี้ แต่ถาดสีคือของสำคัญ ถ้าใช้แค่ถังสีธรรมดา สีจะไม่กระจายเท่ากัน ถาดที่ดีควรมีร่องรีด ช่วยให้ลูกกลิ้งไม่อมน้ำสีเกินไปจนไหลเยิ้ม
กระดาษกาว (Masking Tape)
ใช้สำหรับปิดขอบต่าง ๆ เช่น บัวพื้น กรอบประตู ปลั๊กไฟ เพื่อไม่ให้เลอะ เลือกเกรดดีหน่อย จะได้ไม่ทิ้งคราบกาวตอนลอกออก และที่สำคัญคือต้องแปะให้แนบสนิท อย่ากดเบา ๆ เผิน ๆ ไม่งั้นสีซึมแน่
พลาสติกคลุม ผ้าปูพื้น หรือผ้าฟาง
ปูรองใต้พื้นที่ทำงานให้ครอบคลุมบริเวณ ทาสีเสร็จจะได้ไม่ต้องมานั่งขูดสีเปื้อนพื้นทีหลัง ใช้ผ้าฟางธรรมดาก็เพียงพอ ไม่ต้องลงทุนมาก
เกรียงโป๊ว + วัสดุอุดรอย
สำหรับอุดรูตะปู รอยแตก หรือจุดที่ต้องเก็บงานก่อนลงสี เลือกวัสดุให้ตรงกับสภาพผนัง เช่น อะคริลิกโป๊วสำหรับงานทั่วไป หรือดินโป๊วสำหรับรอยลึก
เลือกซื้อ เกรียง อุปกรณ์เตรียมพื้นผิว
ไม้คนสี / ไม้พาย / ก้านกวน
หลายคนเปิดฝาสีแล้วทาเลย บอกเลยว่า...พลาด! เพราะสีที่เก็บไว้นานมักแยกชั้น ต้องกวนให้เนื้อเข้ากันก่อนใช้ จะใช้ไม้พายสะอาดธรรมดาก็ได้ ไม่ต้องใช้อะไรแพง
ถุงมือ + หน้ากากกันกลิ่น
ถุงมือช่วยกันเปื้อน ล้างออกง่าย ส่วนหน้ากากก็มีประโยชน์ในกรณีที่ต้องทาในห้องปิด ช่วยลดกลิ่นฉุนที่อาจรบกวนระหว่างทำงาน
สีทาบ้านที่เหมาะกับงาน
ตรงนี้คือหัวใจสำคัญ สีภายในควรใช้สีน้ำอะคริลิกชนิดด้านหรือกึ่งเงา ไม่มีกลิ่นฉุน ส่วนภายนอกควรเลือกสีเกรดพรีเมียม ทนแดด ทนฝนดี สำหรับพื้นผิวพิเศษอย่างโลหะ ไม้ หรือเหล็ก ต้องใช้สีเฉพาะทาง อย่าทาแบบเดียวกันมั่ว ๆ ไม่งั้นสีลอกแน่นอน
ทาสีบ้านต้องทำอะไรบ้าง (Step-by-Step สำหรับมือใหม่)
หลายคนคิดว่า การทาสี จะไปยากอะไร ก็อีแค่หยิบแปรงมา ปาด ๆ ทา ๆ ก็แค่นั้น แต่จริง ๆ แล้วการทาสีบ้านให้เรียบ สวย และอยู่ทนนาน ต้องมีจังหวะ มีขั้นตอน และมีสติอยู่พอสมควรเลยละนะ (โดยเฉพาะถ้าไม่อยากมานั่งแก้งานทีหลัง!)
1. เคลียร์พื้นที่ เตรียมผนังให้สะอาด
ก่อนจะเริ่มงานอะไรสักอย่าง การเตรียมพื้นที่นี่แหละคือหัวใจสำคัญอีกอย่างนึงเลย การขยับเฟอร์นิเจอร์ออกจากผนังให้พ้นทาง ปูผ้ารองพื้นหรือพลาสติกกันเลอะ แล้วเช็ดผนังให้สะอาดจากฝุ่น คราบมัน หรือรอยนิ้วมือให้หมด หลาย ๆ คนมักจะใจร้อน ทาทับฝุ่นไปเลยแล้วก็มานั่งงงว่าทำไมสีถึงหลุดเป็นแผ่น ๆ ในไม่กี่เดือน
2. อุดรอย ขัดผิวให้เรียบ
ผนังมีรอยตะปู มีรอยแตกเล็ก ๆ อย่าปล่อยผ่านนะคะ ใช้เกรียงโป๊วอุดให้เรียบก่อน รอให้แห้งสนิทแล้วค่อยขัดเบา ๆ ด้วยกระดาษทราย ตรงนี้ถ้าใครมองข้าม พอทาสีเสร็จจะเห็นเป็นรอยนูน ๆ ขรุขระ เหมือนแต่งหน้าแต่ลืมลงรองพื้นเลยค่ะ ไม่งามอย่างยิ่ง
3. ปิดขอบ ป้องกันเปื้อนให้เรียบร้อย
ใช้ กระดาษกาว ปิดขอบหน้าต่าง กรอบประตู บัวพื้นให้แน่นหนา แนะนำให้ใช้ เทปคุณภาพดี และกดให้แนบแน่นจริง ๆ เพราะถ้าเทปหลวม สีจะซึมลอดเข้าไป ใครเคยเจอสีเลอะขอบไม้แล้วต้องเอาแปรงเล็ก ๆ มาเก็บงานทีละจุด คงรู้ดีว่ามันเสียเวลาขนาดไหน
4. ทารองพื้น (ถ้าจำเป็น)
หลายคนข้ามขั้นตอนนี้เพราะคิดว่ามันเปลือง แต่ถ้าผนังเก่า สีลอกง่าย หรือเป็นผนังใหม่ที่ไม่เคยทาสีมาก่อน ยังไงก็ต้องทารองพื้นก่อนค่ะ เพราะสีรองพื้นจะช่วยให้สีจริงติดทนและเรียบสวย ไม่อย่างนั้นต่อให้ทากี่รอบก็อาจจะยังไม่ปิดพื้นเดิมอยู่ดี
5. เริ่มทาสีจริง
เริ่มจากใช้แปรงเก็บขอบหรือมุมก่อน จากนั้นใช้ลูกกลิ้งกลิ้งในพื้นที่กว้าง กลิ้งแบบสลับแนวนอนและแนวตั้งจะช่วยให้ผิวสีเนียนเสมอกันทั่วทั้งผนัง อย่าลืม “รอให้แห้ง” ก่อนจะทารอบถัดไปด้วยนะ หลายคนใจร้อนทาทับทันที กลายเป็นคราบ กลายเป็นสีด่าง บอกเลยว่าแก้ยากยิ่งกว่าทาใหม่ซะอีก
6. รอแห้ง และเก็บรายละเอียด
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย อย่าเพิ่งรีบลอกเทปออก รอให้สีแห้งสนิทก่อนจึงค่อยลอกออกเบา ๆ ไม่อย่างนั้นสีจะหลุดติดเทปไปด้วย ส่วนรอยเปื้อนเล็ก ๆ ที่เผลอพลาด ให้ใช้แปรงเล็ก ๆ หรือผ้าชุบน้ำหมาด ๆ เก็บงานปิดท้าย รับรองผนังออกมาเนียนจบเหมือนจ้างช่างมืออาชีพเลยค่ะ
แม้การทาสีบ้านจะดูเป็นเรื่องเล็ก ๆ ในสายตาหลายคน แต่สำหรับเจ้าของบ้านแล้ว มันคือการเปลี่ยนบรรยากาศของชีวิตประจำวัน มันคือการรีเซ็ตความรู้สึกในแต่ละเช้า และบางครั้ง...มันคือการเริ่มต้นใหม่ในช่วงเวลาที่ชีวิตต้องการอะไรสักอย่างที่ “สดใส” กว่าเดิม ถ้าคุณยังลังเล ไม่แน่ใจว่าเราจะทำได้ไหม? เราอยากจะบอกว่า คุณไม่จำเป็นต้องเป็นช่าง ไม่ต้องเรียนรู้เทคนิคแบบมือโปร ขอแค่คุณมีใจให้บ้านของคุณสักนิด และยอมเหนื่อยกับมันสัก 2-3 วัน แลกกับผนังที่สะอาด สดใหม่ และความภูมิใจทุกครั้งที่มองเห็นผลงานฝีมือตัวเอง มันคุ้มกว่าการจ้างใครมาทำแน่นอน ไม่ใช่แค่เพราะประหยัดงบ แต่เพราะคุณจะรู้ว่าทุกตารางนิ้วของสีนั้น... คุณลงมือเองจริง ๆ
งานออกมาสวยหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสีแพงแค่ไหน แต่อยู่ที่คุณเตรียมพื้นผิวดีแค่ไหน เก็บรายละเอียดมากพอหรือเปล่า ถ้าไม่อยากเหนื่อยซ้ำสอง — อย่าข้ามขั้นไหนเด็ดขาด