Customers Also Purchased
ในยุคนี้ไฟฟ้าเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวันของเรา ไม่ว่าจะอยู่บ้าน ทำงานในออฟฟิศ หรือเปิดร้านค้าเล็ก ๆ ตามตลาดนัด ลองนึกดูว่าอยู่ดีๆ ไฟดับแล้วตู้เย็นดับ เครื่องแอร์ดับ หรือเครื่องมือช่างหยุดทำงาน จะยุ่งแค่ไหน? นี่แหละคือเหตุผลว่าทำไมหลายคนถึงหันมาใช้ เครื่องปั่นไฟ กันมากขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ไฟดับบ่อย หรือไฟฟ้าจากการไฟฟ้าไว้ใจไม่ค่อยได้
เครื่องปั่นไฟ คืออะไร? และทำไมถึงต้องติดตั้ง?
ทำไมควรมี เครื่องปั่นไฟ?
- ไฟดับเมื่อไหร่ก็ไม่สะเทือนใจ เพราะมี เครื่องปั่นไฟ คอยสำรองให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ ไม่ต้องทนอยู่ในความมืดหรือกังวลว่าอาหารในตู้เย็นจะเสีย
- อยู่ไกลแค่ไหนก็ไม่ใช่ปัญหา ไม่ว่าจะไซต์งานก่อสร้างกลางทุ่ง หรือลานกว้างไร้ไฟ เครื่องปั่นไฟ ก็เอาอยู่
- กรณีฉุกเฉินก็อุ่นใจ เช่น ใช้กับอุปกรณ์แพทย์ในบ้าน ฟาร์มที่ต้องให้น้ำสัตว์ หรือปั๊มน้ำในไร่—ชีวิตไม่สะดุดแม้ไฟจะไม่มา
สิ่งที่ต้องเตรียมก่อนติดตั้ง เครื่องปั่นไฟ
รู้ความต้องการใช้งานของตัวเอง
ก่อนจะตัดสินใจซื้อ เครื่องปั่นไฟ สักเครื่อง ลองถามตัวเองแบบง่าย ๆ ก่อนว่า "เราจะใช้มันทำอะไรบ้าง?" เพราะคำตอบตรงนี้แหละ จะเป็นตัวชี้วัดว่าควรเลือกเครื่องรุ่นไหน ขนาดเท่าไหร่ ลองดูตัวอย่างพอเป็นไอเดียด้านล่างนี้ครับ
- ใช้กับบ้าน 1 หลัง: เอาไว้สำรองไฟช่วงที่ไฟดับ เช่น เปิดไฟ พัดลม ตู้เย็น ทีวีอะไรประมาณนี้
- ใช้กับเครื่องมือไฟฟ้าในไซต์งาน: อย่างพวกสว่าน เจียร ปั๊มน้ำ โหลดจะค่อนข้างหนักหน่อย
- ใช้กับอุปกรณ์สำคัญ: เช่น ตู้เย็น เครื่องแอร์ หรือระบบปั๊มน้ำในฟาร์มที่ต้องทำงานตลอดเวลา
จากนั้นให้ลองรวมโหลดไฟฟ้าทั้งหมดที่ต้องการใช้พร้อมกันออกมา คิดเป็นหน่วยวัตต์ (W) หรือถ้าเยอะหน่อยก็ใช้กิโลวัตต์ (kW) จะได้คำนวณขนาด เครื่องปั่นไฟ ได้แบบไม่ขาดไม่เกิน
คำนวณขนาดของ เครื่องปั่นไฟ
ใช้สูตรง่าย ๆ เลยครับ: กำลังรวม (kW) x 1.25 = ขนาดเครื่องที่ควรเลือก (kVA)
ตรงเลข 1.25 ที่เราเอาไปคูนนั้น ไม่ใช่แค่คูณไปงั้น ๆ นะครับ มันคือการ "เผื่อไว้ก่อน" แบบคนรอบคอบ เพราะในโลกความเป็นจริง เรามักจะมีอุปกรณ์เพิ่มเข้ามาทีหลังอยู่เสมอ เช่น ซื้อแอร์มาใหม่ หรือมีเครื่องใช้ไฟฟ้าเพิ่ม อีกอย่างคือพวกเครื่องใช้ไฟฟ้าบางชนิด อย่างแอร์หรือตู้เย็น มันจะกินไฟช่วงสตาร์ตมากกว่าตอนทำงานปกติ ถ้าไม่เผื่อไว้ เครื่องปั่นไฟ อาจเอาไม่อยู่ครับ
ตัวอย่าง
- รวมโหลดไฟฟ้า = 4 kW (หรือพูดง่าย ๆ คืออุปกรณ์ไฟฟ้ารวมกันกินไฟประมาณนี้แหละครับ)
- เพราะงั้นเอา 4 x 1.25 เผื่อ ๆ ไว้หน่อย = 5 kVA แบบนี้ใช้ได้สบาย ไม่ต้องกลัวไฟตกเวลาเปิดตู้เย็นกับแอร์พร้อมกันครับ
เลือกประเภทเครื่องยนต์
- เบนซิน: เหมาะกับใช้งานระยะสั้น พวกใช้ ๆ ดับ ๆ เช่น เปิดไม่กี่ชั่วโมงตอนไฟดับ หรือพกพาไปใช้ตามไซต์งานเล็ก ๆ พวกนี้สบายเลยครับ เพราะเครื่องไม่ใหญ่ น้ำหนักเบา เติมน้ำมันก็ง่าย หาปั๊มเบนซินได้ทั่วไป
- ดีเซล: ถ้าคุณต้องการใช้เครื่องแบบจัดหนักจัดเต็ม ใช้ยาว ๆ ทั้งวันทั้งคืน ตัวนี้แหละคือคำตอบครับ เพราะเครื่องดีเซลอึด ทน ถึก เหมาะกับงานไซต์ งานก่อสร้าง หรือฟาร์มที่ต้องปั่นไฟต่อเนื่องแบบไม่พักเลยก็ยังไหว แถมประหยัดกว่าน้ำมันเบนซินในระยะยาวอีกด้วย
สถานที่ติดตั้ง
- ต้องระบายอากาศได้ดี เพราะ เครื่องปั่นไฟ มันปล่อยทั้งความร้อนและควันออกมา ถ้าเอาไปไว้ในที่อับหรืออากาศถ่ายเทไม่ดี มีสิทธิ์เครื่องร้อนจัด พังง่าย หรือไม่ก็ทำให้คนอยู่ใกล้ ๆ หายใจไม่สะดวกเอาได้เลยครับ
- พื้นที่ห่างจากผนังหรือของที่ติดไฟง่ายอย่างน้อย 1 เมตรนะครับ อย่าเอาไปชิดกำแพงหรือของวางกอง ๆ เพราะความร้อนจากเครื่องมันมีพอสมควร แถมยังมีควันไอเสียออกมาด้วย ถ้าตั้งชิดเกินไป เดี๋ยวได้กลายเป็นเตาปิ้งของจริง ไม่ใช่แค่ เครื่องปั่นไฟ แล้วล่ะ!
- ไม่ควรเอาไปวางในห้องที่ปิดสนิท หรือใต้หลังคาที่อบ ๆ ร้อน ๆ เพราะมันจะเหมือนกับเอาเครื่องไปอบซาวน่า เครื่องก็จะร้อนเร็ว ทำงานไม่เต็มที่ เสี่ยงพังอีกต่างหาก แถมคนอยู่ใกล้ ๆ ก็อาจจะเวียนหัวจากควันด้วยครับ
ระบบสายไฟและเบรกเกอร์
- สายไฟต้องเลือกให้เหมาะกับปริมาณกระแสไฟที่ใช้งานจริงครับ อย่าคิดว่าเส้นไหนก็เสียบได้ เพราะถ้าสายเล็กเกินไป ไฟจะร้อนลวกจนฉนวนละลาย หรือแย่สุดคือเกิดไฟไหม้ได้เลย แบบนั้นไม่คุ้มกันแน่นอน แนะนำให้คำนวณโหลดก่อน แล้วเลือกสายให้พอดีหรือเผื่อไว้นิดนึงจะอุ่นใจกว่า
- ต้องมีเบรกเกอร์กันไฟย้อนกลับเข้าระบบการไฟฟ้าด้วยนะครับ เพราะถ้าไม่มีแล้วเราเปิด เครื่องปั่นไฟ พร้อมกับไฟฟ้าหลวงกลับมาพอดี ไฟมันจะวิ่งย้อนกลับไปเข้าระบบของการไฟฟ้าได้ ซึ่งอันตรายมาก อาจทำให้ช่างไฟฟ้าที่กำลังซ่อมอยู่โดนไฟช็อตได้เลย โดยเราสามารถเลือกใช้แบบ Manual Transfer Switch (MTS) ที่เราต้องกดสวิตช์เองตอนสลับไฟ หรือแบบ ATS (Automatic Transfer Switch) ที่จะสลับให้แบบอัตโนมัติทันทีที่ไฟดับก็ได้ครับ
อุปกรณ์และสิ่งจำเป็นในการติดตั้ง เครื่องปั่นไฟ
เครื่องปั่นไฟ (Generator)
เลือกเครื่องให้ตรงกับขนาดที่เราคำนวณไว้ครับ อย่าเลือกเล็กเกินจนไฟไม่พอใช้ หรือใหญ่เกินจนเปลืองน้ำมันฟรี ส่วนเรื่องยี่ห้อก็เลือกที่คนใช้เยอะ มีรีวิวดี และมีศูนย์บริการไว้ใจได้ เผื่ออนาคตต้องซ่อมหรือเปลี่ยนอะไหล่ จะได้ไม่ลำบากครับ
ฐานรองเครื่อง
แนะนำให้เป็นพื้นคอนกรีตหนาอย่างน้อย 10 ซม. จะได้ไม่ทรุดหรือเอียงตอนใช้งานนาน ๆ หรือถ้าไม่สะดวกเทปูนก็หาฐานยางหรือแผ่นยางรองไว้ช่วยลดแรงสั่นของเครื่องก็พอไหวครับ เพราะตอนเครื่องทำงานมันสั่นแรงเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
ตู้สลับไฟ (Manual/Automatic Transfer Switch)
- Manual Transfer Switch (MTS): แบบนี้เหมาะกับคนที่ชอบควบคุมอะไรด้วยตัวเองครับ คือเวลาไฟดับ เราต้องเดินไปกดสวิตช์สลับไฟเอง ซึ่งอาจจะไม่สะดวกตอนกลางคืนหรือตอนอยู่ไกล ๆ แต่ก็ประหยัดงบได้พอสมควร
- Automatic Transfer Switch (ATS): ส่วนใครที่ชอบความสะดวกสบายไม่ต้องลุกไปกดอะไรเลย ตัวนี้คือพระเอกเลยครับ เพราะระบบจะตรวจจับไฟดับแล้วสลับมาใช้ เครื่องปั่นไฟ ให้อัตโนมัติในไม่กี่วินาที เหมาะกับบ้านที่มีผู้สูงอายุ อุปกรณ์สำคัญ หรือคนที่ไม่อยากวุ่นเวลาไฟดับ
เบรกเกอร์และสายไฟ
- เบรกเกอร์หลักควรแยกจากตู้เมนหลักนะครับ เพื่อความปลอดภัยและสะดวกเวลาจัดการระบบไฟ เพราะถ้าเราเอาไปรวมอยู่ในตู้เดียวกัน เวลาจะซ่อมหรือสลับไฟ มันอาจยุ่งยากหรือทำให้สับสนได้ง่าย ๆ แยกไว้ตั้งแต่ต้นจบปัญหาแน่นอนครับ
- สายไฟควรเลือกให้เหมาะสมกับทั้งระยะทางที่เดินสายและปริมาณไฟที่เครื่องใช้จะกินครับ เช่น ถ้าเครื่องอยู่ไกลจากตู้เมนหรือมีอุปกรณ์กินไฟเยอะ ก็ควรใช้สายใหญ่หน่อยอย่าง 10 mm² หรือมากกว่านั้น ส่วนระยะสั้น ๆ ที่โหลดไม่มากก็อาจใช้ 6 mm² ได้ อย่าใช้สายเล็กเกินไปเพราะมันจะร้อนง่าย เสี่ยงไฟไหม้ได้เหมือนกันครับ
ท่อระบายไอเสีย (Exhaust Pipe)
- ควรต่อท่อออกนอกอาคาร ไม่ใช่แค่เพราะกลิ่นหรือควันนะครับ แต่เพื่อสุขภาพล้วน ๆ เพราะไอเสียจาก เครื่องปั่นไฟ มีทั้งควันและก๊าซที่สูดดมนาน ๆ ไม่ดีแน่นอน โดยเฉพาะถ้ามีผู้สูงอายุหรือเด็กอยู่ใกล้ ๆ ยิ่งต้องระวังเลยครับ
- ติดตั้งให้แน่นหนาเลยนะครับ อย่าปล่อยให้มีรอยรั่วหรือจุดที่อุดตัน เพราะถ้าท่อหลุดตอนเครื่องกำลังทำงานอยู่ ควันก็จะย้อนเข้ามาในบ้านหรือโรงงานได้เต็ม ๆ แถมเสียงดังอีกต่างหาก พูดง่าย ๆ คือทั้งเหม็น ทั้งอันตราย และรำคาญในคราวเดียวเลยครับ
ระบบกราวด์ (Ground Rod)
- ปักสายดินลึกลงดินอย่างน้อย 2.4 เมตรครับ ไม่ใช่แค่เอาเหล็กปัก ๆ ลงไปเฉย ๆ แล้วจบ เพราะความลึกนี้มีผลต่อความสามารถในการระบายกระแสไฟฟ้าลงดิน ถ้าตื้นเกินไป เวลาเกิดไฟรั่วมันจะไม่ค่อยช่วยอะไร ต้องให้ถึงระดับที่ดินชื้นพอจะนำไฟได้ดี แบบนี้ถึงจะปลอดภัยจริง ๆ
- ช่วยป้องกันไฟรั่วและไฟดูดครับ เพราะถ้าไม่มีระบบกราวด์ที่ดี เวลามีไฟรั่วมันจะไหลเข้าตัวเราแทนที่จะลงดิน บอกเลยว่าแค่โดนช็อตเบา ๆ ก็สะดุ้งแล้ว ถ้าแรงกว่านั้นอันตรายถึงชีวิตได้เลย เพราะฉะนั้นเรื่องนี้อย่ามองข้ามเด็ดขาด
ระบบเชื้อเพลิง
- ถ้าใช้ดีเซลหรือเบนซิน ก็ต้องเตรียมถังน้ำมันสำรองไว้ในจุดที่ปลอดภัยด้วยนะครับ อย่าเอาไปวางชิดเครื่องหรือที่ร้อน ๆ เด็ดขาด เพราะน้ำมันเป็นของไวไฟ เสี่ยงทั้งไฟลุกและกลิ่นเหม็น ถ้ามีที่เก็บที่อากาศถ่ายเทได้ดีและมีฝาปิดมิดชิด จะดีที่สุดเลยครับ
- ถ้าใช้แก๊ส ก็อย่าลืมติดตั้งวาล์วตัดอัตโนมัติไว้ด้วยนะครับ เพราะหากเกิดรั่วขึ้นมา วาล์วจะช่วยหยุดการจ่ายแก๊สทันที ลดความเสี่ยงเรื่องไฟไหม้หรือระเบิดได้เยอะเลย และแนะนำให้ทดสอบการรั่วเป็นประจำ หรือถ้าได้กลิ่นแก๊สแปลก ๆ ขึ้นมาเมื่อไหร่ อย่าชะล่าใจ รีบปิดวาล์วแล้วตรวจสอบทันทีครับ ปลอดภัยไว้ก่อนดีที่สุด
ขั้นตอนการติดตั้ง เครื่องปั่นไฟ (เบื้องต้น)
ขั้นตอนที่ 1 : เตรียมพื้นที่
- เทปูนให้แน่น ๆ หรือวางฐานให้แข็งแรงหน่อยครับ อย่าให้เครื่องมันโยกได้ง่าย เพราะตอนเครื่องทำงานจริง มันจะสั่นแรงเอาเรื่อง ถ้าพื้นไม่มั่นคง เครื่องก็จะเดินได้เหมือนเด็กเพิ่งหัดเดินเลยครับ เสียงก็จะดังขึ้น แถมสึกหรอไวอีกต่างหาก
- เผื่อพื้นที่รอบด้านให้อากาศถ่ายเทแบบโล่ง ๆ ไม่ต้องอัดชิดกำแพงหรือเอาไปวางในมุมอับ เพราะเครื่องมันต้องหายใจเหมือนเรานี่แหละครับ ความร้อนจะได้ระบายออกดี ไม่เสี่ยงพังเร็ว
ขั้นตอนที่ 2 : เชื่อมต่อสายไฟและเบรกเกอร์
- ต่อจากเครื่องเข้าสู่ตู้ Transfer Switch ให้เรียบร้อยครับ อันนี้เป็นตัวกลางสำคัญในการควบคุมว่าไฟจะมาจากการไฟฟ้าหรือจากเครื่องปั่นไฟ
- อย่าลืมติดตั้งเบรกเกอร์กันย้อนกระแสด้วยนะครับ เพราะถ้าไฟย้อนกลับเข้าไปในระบบการไฟฟ้า อาจเกิดอันตรายได้ โดยเฉพาะกับช่างไฟที่อาจกำลังซ่อมอยู่ฝั่งหม้อแปลง ป้องกันไว้ก่อนดีที่สุด
ขั้นตอนที่ 3 : ตรวจสอบระบบกราวด์
- ตรวจแรงต้านดินให้ต่ำกว่า 5 โอห์มครับ โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า earth tester หรือเครื่องวัดค่าความต้านทานดินนั่นเอง พูดง่าย ๆ คือเราต้องเช็กให้แน่ใจว่าไฟที่รั่วจะไหลลงดินได้ดี ไม่ไหลมาช็อตใครเข้า ถ้าค่าสูงเกินไปก็อาจต้องปรับปรุงระบบกราวด์ใหม่ เช่น ปักแท่งกราวด์เพิ่ม หรือใช้ดินที่ชื้นขึ้นครับ
ขั้นตอนที่ 4 : ต่อท่อไอเสียออกนอกอาคาร
- อย่าปล่อยให้ควันสะสมในพื้นที่ปิดเด็ดขาดนะครับ เพราะควันจาก เครื่องปั่นไฟ ไม่ได้หอมเหมือนหมูปิ้ง แต่เต็มไปด้วยก๊าซพิษที่อันตรายต่อร่างกาย สูดดมไปนาน ๆ อาจเวียนหัวหรือเป็นอันตรายได้ โดยเฉพาะในพื้นที่แคบหรือไม่มีช่องระบายอากาศ เพราะฉะนั้นต่อท่อไอเสียให้ดี แล้วปล่อยควันออกนอกอาคารเสมอครับ
ขั้นตอนที่ 5 : ทดสอบระบบ
- สตาร์ตเครื่องให้ติด แล้วลองเปิดโหลดดูครับว่าจะมีไฟจ่ายเข้าบ้านหรืออุปกรณ์ไหม ถ้ามีไฟมา แสดงว่าเครื่องทำงานปกติแล้ว ต่อจากนั้นก็เช็กแรงดันไฟฟ้าและความถี่ด้วยนะครับ โดยทั่วไปจะอยู่ที่ 220V / 50Hz ถ้าค่าต่ำไปหรือสูงไปมาก ๆ อาจต้องปรับตั้งหรือตรวจสอบอุปกรณ์เพิ่มเติม อย่าลืมว่าไฟที่จ่ายไม่เสถียร อาจทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านพังได้ครับ
ติดตั้ง เครื่องปั่นไฟ เองได้ไหม? ต้องมีใบอนุญาตหรือไม่?
ติดตั้งเองได้หรือไม่?
ได้ แต่ต้องระวังมากเลยครับ เพราะ เครื่องปั่นไฟ ไม่ใช่อุปกรณ์เล่น ๆ มันเกี่ยวข้องกับทั้งไฟฟ้าแรงสูงและระบบน้ำมันหรือแก๊ส ถ้าต่อผิดหรือเดินสายไม่ดี อาจมีช็อต มีไหม้ หรือเกิดอันตรายแบบไม่คาดคิดได้เลย ถ้าไม่ได้มีพื้นฐานด้านไฟฟ้าหรือไม่มั่นใจจริง ๆ แนะนำให้ปรึกษาช่างไฟฟ้าที่มีใบรับรองดีกว่าครับ สบายใจกว่าเยอะ
สิ่งที่ต้องระวังหากติดตั้งเอง
- การต่อสายไฟผิด อันนี้ต้องระวังจริง ๆ ครับ เพราะแค่ต่อสายผิดนิดเดียวก็อาจทำให้เกิดไฟฟ้าช็อต ไฟไหม้ หรือทำให้เครื่องพังได้ง่าย ๆ เลย ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ นะครับ
- ระบบกราวด์ที่ไม่สมบูรณ์ก็เหมือนเปิดทางให้ไฟรั่วเข้าตัวคนแทนที่จะลงดิน เสี่ยงโดนไฟดูดแบบไม่รู้ตัว ยิ่งถ้าเดินเท้าเปล่าหรือมีน้ำอยู่ใกล้ ๆ นี่ยิ่งอันตรายเข้าไปใหญ่เลยครับ
- ไม่มีเบรกเกอร์กันย้อน อันนี้คนมักมองข้าม แต่ความจริงสำคัญมาก เพราะถ้าไฟย้อนกลับไปที่หม้อแปลงตอนที่ช่างไฟกำลังซ่อมอยู่ อันตรายถึงชีวิตได้เลยครับ
ต้องขออนุญาตหรือไม่?
- ถ้าเป็นเครื่องขนาดเล็ก (ต่ำกว่า 10 kVA) และใช้แค่ในบ้านนะครับ ไม่ได้ต่อแบบถาวรหรือเชื่อมกับระบบไฟทั้งบ้านแบบซับซ้อน ส่วนใหญ่ไม่ต้องขออนุญาตให้วุ่นวายครับ แค่ติดตั้งให้ถูกหลัก ปลอดภัย และไม่ไปรบกวนเพื่อนบ้านก็โอเคแล้ว
- แต่ถ้าใช้ในโรงงาน หรือติดตั้งแบบถาวรที่เชื่อมต่อกับระบบไฟขนาดใหญ่ แบบนี้ต้องแจ้งการไฟฟ้าและขออนุญาตตาม พ.ร.บ.โรงงานนะครับ อย่าเผลอติดตั้งเองแล้วใช้ยาว ๆ แบบไม่แจ้ง เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นมา เช่น ไฟไหม้หรือไฟย้อน อาจโดนตรวจสอบภายหลัง และมีปัญหาทางกฎหมายตามมาได้เลยครับ
สรุป
เครื่องปั่นไฟ ไม่ใช่เพียงอุปกรณ์เสริม แต่กลายเป็นสิ่งจำเป็นในหลายพื้นที่ที่ไฟฟ้าไม่เสถียร การติดตั้งที่ถูกต้องตั้งแต่แรกย่อมช่วยให้ใช้งานได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัย และประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาว
หากคุณกำลังมองหา เครื่องปั่นไฟ และต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม แนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหรือร้านค้าที่มีประสบการณ์เพื่อให้ได้เครื่องและการติดตั้งที่ตรงกับความต้องการของคุณที่สุด