รู้สเปก "เครื่องวัดความต้านทานดิน" เลือกอย่างไรให้ตรงตามมาตรฐานการไฟฟ้าฯ?

Customers Also Purchased

คุณเคยสงสัยไหมคะว่า "สายดิน" ที่บ้านหรือในโรงงานเราเนี่ย มันทำงานได้จริงหรือเปล่า? หรือว่าแค่มีสายดินต่อไว้ก็พอแล้ว? จริงๆ แล้วแค่มีสายดินต่อไว้เฉยๆ อาจจะไม่พอปลอดภัยก็ได้นะคะ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือค่า "ความต้านทานดิน" ที่ต้องได้ตามมาตรฐานค่ะ ถ้าค่านี้ไม่เป็นไปตามที่กำหนดเนี่ย ระบบสายดินของเราก็อาจจะไม่ช่วยป้องกันไฟดูด ไฟรั่ว หรือฟ้าผ่าได้อย่างเต็มที่เลยนะคะ

การจะรู้ว่าระบบสายดินของเราดีพอไหม เราต้องใช้เครื่องมือพิเศษที่เรียกว่า "เครื่องวัดความต้านทานดิน" (Earth Resistance Tester) นี่แหละค่ะ เข้ามาช่วยตรวจสอบ แต่จะเลือกซื้อเครื่องมือนี้ยังไงล่ะให้มันตรงตามมาตรฐานของการไฟฟ้าฯ ที่เขากำหนดไว้?

วันนี้เราจะมาคุยกันแบบเจาะลึกเลยนะคะ ว่า เครื่องวัดความต้านทานดิน คืออะไร ทำไมมันถึงสำคัญ และเราจะเลือกซื้อยังไงให้ได้เครื่องที่ใช่ ตรงตามมาตรฐานของ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และ การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เพื่อความปลอดภัยสูงสุดในระบบไฟฟ้าของคุณค่ะ

"เครื่องวัดความต้านทานดิน" คืออะไร? ทำไมมันถึงสำคัญ?

คุณคงรู้ดีว่าระบบไฟฟ้าในบ้านหรือโรงงานของเราเนี่ย จำเป็นต้องมี "สายดิน" ใช่ไหมคะ? สายดินก็เหมือนกับเส้นทางพิเศษที่ช่วยให้กระแสไฟฟ้าส่วนเกิน หรือกระแสไฟฟ้าที่รั่วไหล ไหลลงสู่พื้นดินได้อย่างปลอดภัย ป้องกันไม่ให้คนไปสัมผัสแล้วถูกไฟดูดค่ะ แถมยังช่วยปกป้องอุปกรณ์ไฟฟ้าจากความเสียหาย แล้วก็ช่วยให้ระบบป้องกันไฟดูดอย่างเบรกเกอร์ (RCD/RCBO) ทำงานได้ถูกต้องด้วย

แต่แค่มีสายดินอย่างเดียวไม่พอค่ะ! สิ่งที่สำคัญกว่าคือ ค่าความต้านทานดิน ต้องต่ำพอ! ถ้าความต้านทานสูงเกินไป กระแสไฟฟ้าก็ไหลลงดินได้ไม่สะดวก เหมือนมีกำแพงกั้นอยู่ ทำให้สายดินทำงานได้ไม่เต็มที่

นี่แหละค่ะคือหน้าที่ของ เครื่องวัดความต้านทานดิน มันเป็นอุปกรณ์ที่ใช้วัดค่าความต้านทานของระบบสายดินของเรา ว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัยและได้มาตรฐานของการไฟฟ้าฯ หรือเปล่าค่ะ

รู้สเปก เครื่องวัดความต้านทานดิน เลือกอย่างไรให้ตรงตามมาตรฐานการไฟฟ้าฯ

มาตรฐานความต้านทานดินของการไฟฟ้าฯ ที่คุณควรรู้

ในประเทศไทย การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และ การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดูแลระบบไฟฟ้าให้เราใช้กันอยู่เนี่ย เขากำหนดมาตรฐานความต้านทานดินไว้ชัดเจนเลยค่ะ

  • สำหรับอาคารทั่วไป (บ้านพักอาศัย, อาคารพาณิชย์): ค่าความต้านทานดินที่วัดได้ ต้องไม่เกิน 5 โอห์ม (≤ 5 Ω)
  • สำหรับระบบที่มีความสำคัญ หรือมีขนาดใหญ่ขึ้น: เช่น ระบบสายดินร่วมกับระบบป้องกันฟ้าผ่า หรือโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ บางกรณีอาจต้องการค่าความต้านทานดินที่ต่ำกว่านั้นอีก เช่น น้อยกว่า 1 โอห์ม (≤ 1 Ω) ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดเฉพาะของแต่ละระบบและมาตรฐานที่อ้างอิง

การที่คุณจะซื้อ เครื่องวัดความต้านทานดิน คุณต้องมั่นใจว่าเครื่องมือของคุณสามารถวัดค่าได้อย่างแม่นยำและครอบคลุมค่าตามมาตรฐานเหล่านี้ได้นะคะ

เจาะลึกสเปก "เครื่องวัดความต้านทานดิน" เลือกอย่างไรให้ตรงตามมาตรฐาน?

การเลือก เครื่องวัดความต้านทานดิน ที่ดี มีหลายจุดที่ต้องพิจารณาค่ะ เพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องที่คุณซื้อจะใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเชื่อถือได้ตามมาตรฐานนะคะ

1. วิธีการวัด

เครื่องวัดความต้านทานดิน เนี่ย มีวิธีการวัดหลักๆ ที่นิยมใช้กันอยู่ 2 แบบค่ะ

       1.1 วิธีการวัดแบบ 3-จุด / 4-จุด (Fall-of-Potential Method)

  • ลักษณะ: นี่คือวิธีการวัดมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับและให้ค่าที่แม่นยำที่สุดค่ะ จะต้องใช้การตอกหลักดินเสริมลงไปในดิน 2 หรือ 3 แท่ง (เป็นอิเล็กโทรด) เพื่อสร้างวงจรการวัดที่สมบูรณ์
    • แบบ 3-จุด: นิยมใช้สำหรับการวัดความต้านทานดินทั่วไป
    • แบบ 4-จุด: ให้ความแม่นยำสูงที่สุด โดยเฉพาะสำหรับการวัดค่าความต้านทานดินที่ต่ำมากๆ หรือในงานที่ต้องการความละเอียดสูง เพราะจะช่วยตัดผลกระทบจากความต้านทานของสายวัดออกไปได้
  • เหมาะกับงานแบบไหน: เป็นวิธีมาตรฐานที่ การไฟฟ้าฯ ยอมรับและแนะนำสำหรับการตรวจสอบระบบสายดินทั่วไป การติดตั้งใหม่ หรือการตรวจสอบตามวาระ
  • สิ่งที่ต้องมี: คุณต้องมีหลักดินทดสอบ (Auxiliary Earth Electrodes) สำหรับตอกลงดิน และสายวัดที่ยาวพอสมควร

       1.2 วิธีการวัดแบบแคลมป์ (Clamp-on Earth Tester)

  • ลักษณะ: เป็นเครื่องมือที่คล้ายๆ แคลมป์มิเตอร์ที่เราใช้หนีบสายไฟ แต่จะใช้วัดค่าความต้านทานดินโดยไม่ต้องตอกหลักดินเสริมค่ะ แค่หนีบไปที่สายดินที่ต่อลงกราวด์อยู่แล้ว
  • เหมาะกับงานแบบไหน: เหมาะสำหรับการตรวจสอบเบื้องต้น หรือการบำรุงรักษาในระบบที่มีการต่อสายดินแบบ Loop (มีสายดินหลายจุดเชื่อมโยงกัน) เพราะมันสะดวกและรวดเร็วมากๆ ค่ะ
  • ข้อจำกัด: ไม่เหมาะสำหรับการวัดความต้านทานดินของหลักดินเดี่ยวๆ ที่ไม่มีการต่อพ่วงกับระบบ Loop อื่นๆ และค่าที่ได้อาจจะไม่แม่นยำเท่าการวัดแบบ 3-จุด หรือ 4-จุด ในบางสถานการณ์

คำแนะนำ: ถ้าคุณต้องการเครื่องที่ใช้สำหรับการติดตั้ง ตรวจสอบ หรือรับรองตามมาตรฐาน การไฟฟ้าฯ ควรเลือก เครื่องวัดความต้านทานดินที่รองรับวิธีการวัดแบบ 3-จุด หรือ 4-จุด นะคะ

รู้สเปก เครื่องวัดความต้านทานดิน เลือกอย่างไรให้ตรงตามมาตรฐานการไฟฟ้าฯ

2. ช่วงการวัด (Measurement Range) ครอบคลุมค่ามาตรฐานไหม?

  • ดูว่าวัดค่าต่ำได้แค่ไหน: คุณต้องเลือกเครื่องที่สามารถวัดค่าความต้านทานดินที่ต่ำมากๆ ได้ค่ะ อย่างน้อยควรจะวัดได้ต่ำกว่า 5 โอห์มลงไปอีก (เช่น มีช่วงการวัดตั้งแต่ 0.01 โอห์ม หรือ 0.1 โอห์ม) เพื่อให้มั่นใจว่าครอบคลุมค่ามาตรฐานของการไฟฟ้าฯ และสามารถตรวจสอบค่าที่ต่ำกว่า 1 โอห์มได้ด้วย (สำหรับงานบางประเภท)
  • ดูว่าวัดค่าสูงสุดได้แค่ไหน: เครื่องควรมีช่วงการวัดค่าสูงสุดที่กว้างพอสมควรด้วยค่ะ (เช่น ถึง 2000 โอห์ม หรือ 20 กิโลโอห์ม) เผื่อในกรณีที่ระบบสายดินของคุณมีปัญหาจริงๆ และค่าความต้านทานสูงมาก

3. ความแม่นยำ (Accuracy)

  • ความแม่นยำของเครื่องวัดเป็นสิ่งสำคัญมากๆ ค่ะ โดยเฉพาะงานไฟฟ้าที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย คุณควรเลือกเครื่องที่มีค่าความแม่นยำสูง (ระบุเป็น % ของค่าที่วัดได้) เพื่อให้ได้ค่าที่เที่ยงตรงที่สุดค่ะ

4. คุณสมบัติเพิ่มเติมและมาตรฐานความปลอดภัย

  • ป้องกันสัญญาณรบกวน (Noise Rejection): บริเวณที่ติดตั้งระบบไฟฟ้าอาจมีสัญญาณรบกวนจากกระแสไฟฟ้าอื่นๆ ในดิน เครื่องที่ดีควรมีฟังก์ชันนี้เพื่อช่วยให้ค่าที่วัดได้แม่นยำขึ้น
  • มีจอแสดงผลดิจิทัล: ทำให้การอ่านค่าเป็นไปได้ง่ายและชัดเจน
  • มีไฟแบ็คไลท์: ถ้าต้องทำงานในที่มืด หรือในสภาพแสงน้อย ก็จะช่วยให้มองเห็นหน้าจอได้ชัดเจนขึ้น
  • ทนทานต่อสภาพแวดล้อม: ตัวเครื่องควรมีความแข็งแรงทนทาน ทนต่อฝุ่นละออง หรือความชื้นได้ดี (ดูจากค่า IP Rating) เพื่อให้ใช้งานได้นาน
  • มาตรฐานความปลอดภัย: ควรเลือกเครื่องที่ได้รับการรับรองมาตรฐานสากล เช่น IEC (International Electrotechnical Commission) หรือ CE Marking เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้งาน

ข้อควรรู้เพิ่มเติม: การวัดค่าความต้านทานดินให้ถูกต้อง

แม้จะมีเครื่องที่ดีแล้ว การใช้งานให้ถูกวิธีก็สำคัญไม่แพ้กันเลยนะคะ

  • ตำแหน่งการตอกหลักดินเสริม: ในการวัดแบบ 3-จุด หรือ 4-จุด ตำแหน่งการตอกหลักดินเสริม (P1, C1, P2, C2) มีผลต่อความแม่นยำมากๆ เลยค่ะ ต้องปักให้ห่างจากหลักดินที่เราต้องการวัดในระยะที่เหมาะสมตามคำแนะนำของผู้ผลิตเครื่อง และต้องปักให้อยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกัน
  • สภาพดิน: ความชื้นในดินมีผลต่อค่าความต้านทานดินมากๆ ค่ะ ดินที่แห้งจะมีความต้านทานสูงกว่าดินที่ชื้น การวัดควรทำในสภาพดินที่เหมาะสม (โดยปกติถ้าจะให้ได้ค่าที่ใกล้เคียงความจริงมากที่สุด มักจะแนะนำให้วัดในช่วงที่ดินมีความชื้นปกติ)
  • หลีกเลี่ยงสัญญาณรบกวน: ควรทำการวัดในบริเวณที่ไม่มีกระแสไฟฟ้ารั่วไหล หรือสิ่งรบกวนอื่นๆ ที่อาจทำให้ค่าที่วัดได้คลาดเคลื่อน
  • สอบเทียบเครื่องมือเป็นประจำ: เครื่องวัดความต้านทานดิน ควรได้รับการสอบเทียบ (Calibration) จากห้องปฏิบัติการที่ได้รับการรับรองอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือตามที่ผู้ผลิตแนะนำ เพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องยังคงวัดค่าได้อย่างแม่นยำอยู่เสมอ

รู้สเปก เครื่องวัดความต้านทานดิน เลือกอย่างไรให้ตรงตามมาตรฐานการไฟฟ้าฯ

เลือก "เครื่องวัดความต้านทานดิน" ที่ใช่ เพื่อความปลอดภัยสูงสุด

การมีระบบสายดินที่ดีและได้มาตรฐานตามที่ การไฟฟ้าฯ กำหนดไว้ ไม่ใช่แค่เรื่องของข้อบังคับเท่านั้นนะคะ แต่มันคือการลงทุนที่สำคัญที่สุดเพื่อ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ของทุกคนในบ้านหรือในโรงงานค่ะ

การเลือกซื้อ เครื่องวัดความต้านทานดิน ที่มีสเปกตรงตามมาตรฐาน รองรับวิธีการวัดที่ถูกต้อง มีความแม่นยำสูง และได้รับการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้คุณสามารถตรวจสอบและมั่นใจได้ว่าระบบสายดินของคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมปกป้องทุกคนจากอันตรายจากไฟฟ้าได้อย่างแท้จริงค่ะ อย่ามองข้ามความสำคัญของอุปกรณ์ชิ้นนี้ เพื่อความปลอดภัยที่ยั่งยืนนะคะ