7 ปัญหาที่เจอกับ รองเท้าเซฟตี้ และวิธีเลือกรุ่นที่เหมาะกับการใช้งาน

Customers Also Purchased

รองเท้าเซฟตี้ คือหนึ่งในอุปกรณ์นิรภัยที่คนทำงานสายลุยหลาย ๆ คนต้องมีติดตัว โดยเฉพาะสายช่าง โรงงาน ก่อสร้าง หรือแม้แต่งานภาคสนามทั่วไปที่มีความเสี่ยงจะเหยียบของมีคม หรือโดนของหนักหล่นใส่เท้า แต่เอาเข้าจริง หลายคนก็แอบบ่นในใจว่า "เฮ้ย มันอึดอัดไปไหม ใส่แล้วเท้าระบมเลย เดินแล้วเมื่อยมาก!" ซึ่งก็ไม่แปลกครับ เพราะ รองเท้าเซฟตี้ บางรุ่นมันก็หนัก ใส่ไม่สบายจริง ๆ แต่รู้ไหมว่าปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากรองเท้าเซฟตี้ ทุกคู่เสมอไป แต่อาจเป็นเพราะเราเลือกผิดรุ่นนั่นเอง
วันนี้เราเลยอยากชวนทุกคนมาเจาะลึกแบบเป็นกันเองว่า 7 ปัญหายอดฮิตที่คนใส่ รองเท้าเซฟตี้ ต้องเจอ มีอะไรบ้าง พร้อมแชร์เทคนิคง่ายๆ ในการ เลือก รองเท้าเซฟตี้ ให้เหมาะกับงานที่ทำ จะได้ใส่แล้วสบาย ปลอดภัย และไม่ต้องมาทนทรมานเท้าอีกต่อไป!

7 ปัญหาที่เจอกับ รองเท้าเซฟตี้ และวิธีเลือกรุ่นที่เหมาะกับการใช้งาน

1. รองเท้าเซฟตี้ หนัก เดินนานๆแล้วเมื่อยเท้า

  • ส่วนใหญ่เกิดจากรุ่นที่ใช้หัวเหล็กหรือแผ่นเหล็กเสริมพื้น ซึ่งถึงแม้จะปลอดภัยมาก แต่ก็แลกมากับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นแบบรู้สึกได้เลย
  • วัสดุภายนอกที่ออกแบบมาให้แข็งแรงและหนาเพื่อรองรับแรงกระแทก มันก็ดีแหละ แต่บางทีหนักจนรู้สึกเหมือนยกดัมเบลติดเท้า!
  • ขนาดรองเท้าใหญ่ไปหรือเล็กไปนิดเดียว ก็มีผลมากนะครับ เพราะมันจะทำให้รู้สึกเดินไม่คล่อง เคลื่อนไหวไม่เป็นธรรมชาติ เหมือนใส่รองเท้าของคนอื่นยังไงยังงั้น

วิธีแก้

  • ลองเปลี่ยนมาเลือก รองเท้าเซฟตี้หัวคอมโพสิต (Composite Toe) แทนหัวเหล็กดูครับ เพราะน้ำหนักจะเบากว่ารุ่นที่ใช้เหล็กเยอะ แต่ยังปลอดภัยหายห่วงเหมือนเดิม ไม่ต้องกลัวว่าเท้าจะไม่รอด!
  • มองหารุ่นที่ใช้ พื้นกันทะลุแบบเส้นใยเคฟลาร์ (Kevlar) แทนการใส่แผ่นเหล็กแข็ง ๆ เพราะเคฟลาร์นอกจากจะเบากว่าแล้ว ยังยืดหยุ่น ใส่เดินแล้วไม่รู้สึกแข็งเท้าอีกด้วย
  • สำคัญสุดๆ คืออย่าลืมเลือกไซซ์ที่พอดีเท้า และมีแผ่นรองเท้าที่รองรับอุ้งเท้าได้ดี เพราะถ้าเท้าเราสบายตั้งแต่ต้น วันทั้งวันก็จะลุยงานได้เต็มที่แบบไม่ต้องห่วงเท้าเลยครับ

2. ใส่แล้วอับเท้า เหงื่อออกเยอะจนเกิดกลิ่น

  • รองเท้าเซฟตี้ ส่วนมากมักทำจากหนังหรือวัสดุที่ออกแบบมาให้กันน้ำ กันฝุ่นได้ดี ซึ่งก็ดีต่อความปลอดภัยนะครับ แต่ผลข้างเคียงคือมันไม่ค่อยระบายอากาศ ทำให้เท้ารู้สึกอบ ๆ เหงื่อออกง่าย ใส่ไปสักพักนี่กลิ่นมาแน่นอน!
  • บางรุ่นก็ไม่มีแม้แต่ช่องระบายอากาศหรือแผ่นรองเท้าที่ช่วยดูดซับความชื้นเลย ใส่ทั้งวันนี่คือเหมือนเท้าอบซาวน่าเล็ก ๆ ไปเลยครับ

วิธีแก้

  • เลือกรุ่นที่มี ระบบระบายอากาศ เช่น ช่องตาข่าย Mesh หรือแผ่นรองเท้าที่ถอดซักได้ จะช่วยให้เท้าหายใจได้หน่อย ไม่อบ ไม่อับจนเหงื่อตกทั้งวันครับ
  • พิจารณารองเท้าที่ใช้ ผ้าแคนวาสแบบระบายอากาศ แทนหนังเคลือบแบบหนา เพราะบางทีหนังมันก็อึดอัดเกินไป โดยเฉพาะถ้าทำงานกลางแจ้งแดดเปรี้ยงๆ
  • อีกจุดที่ไม่ควรมองข้ามคือถุงเท้า! ใส่ถุงเท้าดี ๆ อย่างพวกถุงเท้าสำหรับนักกีฬาที่ระบายเหงื่อได้ดี จะช่วยลดกลิ่น ลดความอับ ไม่ต้องกลัวถอดรองเท้าแล้วคนข้าง ๆหนีครับ

3. รองเท้าเซฟตี้ กัด ส้นพอง นิ้วถลอก

  • วัสดุแข็งบริเวณส้นเท้าหรือปลายเท้า ไม่ยืดหยุ่นเท่าไหร่ครับ ใส่ใหม่ ๆ ทีนี่คือรู้เลยว่าโดน! โดยเฉพาะตรงส้นนี่คือจุดยอดฮิตที่ทำให้เจ็บจนต้องถอดพัก
  • หลายคนเผลอเลือกรองเท้าเบอร์ใหญ่ไปเพราะกลัวคับ หรือเล็กเกินไปเพราะคิดว่าแน่น ๆ จะดี ผลคือเท้าเสียดสีกับขอบรองเท้าจนถลอกเจ็บแบบไม่ทันตั้งตัว
  • อีกจุดที่มักถูกมองข้ามคือการเบรกอิน (break-in) หรือการใส่ให้รองเท้าเข้ารูปก่อนลุยงานจริง ถ้าใส่ปุ๊บลุยหนักเลย เท้าอาจไม่ทันตั้งตัวครับ

วิธีแก้

  • ลองรองเท้าให้แน่นพอดีแต่ไม่บีบครับ อย่าคิดว่าแน่นคือดี บางทีแน่นไปกลายเป็นโดนบีบจนเท้าระบมได้ ต้องลองเดินจริงนิดนึง ดูว่าไม่มีจุดกดหรือจุดที่รู้สึกเสียดสีแปลก ๆ
  • ถ้าเลือกได้ แนะนำให้เลือกรุ่นที่บุวัสดุนุ่มรอบข้อเท้า อย่างฟองน้ำ EVA หรือ Memory Foam เพราะมันช่วยซับแรงกดตรงข้อเท้า ใส่นาน ๆ ก็ยังรู้สึกนุ่มสบาย ไม่กัด
  • และก่อนจะใส่ไปลุยงานแบบจริงจัง แนะนำให้ใส่เดินเล่นในบ้านก่อนสัก 1–2 วันครับ ให้รองเท้ามันปรับรูปเข้ากับเท้าเรา จะได้ไม่ต้องมาเจ็บตอนทำงานจริง

4. พื้นรองเท้าลื่น ทำงานบนพื้นเปียกแล้วอันตราย

  • พื้นรองเท้าไม่มีลวดลายหรือร่องกันลื่นลึกพอ ซึ่งบางทีดูเผิน ๆ อาจจะไม่คิดว่ามีผล แต่พอเดินบนพื้นเปียกแล้วถึงกับลื่นแทบล้มเลยก็มีครับ โดยเฉพาะใครที่ทำงานในพื้นที่มีน้ำหรือคราบมันบ่อยๆ
  • แถมถ้าใช้รองเท้าที่พื้นทำจาก PVC หรือ PU แบบลื่น ๆ เข้าไปอีก นี่คือสูตรสำเร็จของการลื่นล้มเลยครับ ใส่เดินในครัวโรงงานหรือโกดังที่มีน้ำมันทีไร ต้องมีระวังตัวสุด ๆ

วิธีแก้

  • เลือก รองเท้าเซฟตี้ ที่มีพื้นยาง (Rubber Sole) พร้อมร่องกันลื่นลึก เพราะพื้นแบบนี้เกาะพื้นได้ดีมาก เดินบนพื้นเปียกก็ไม่ต้องกลัวจะลื่นหัวฟาดพื้นครับ
  • ลองเช็กดูด้วยว่ารองเท้ามีมาตรฐานกันลื่นอย่าง SRC (Slip Resistance Certified) หรือเปล่า อันนี้เป็นเหมือนใบการันตีความปลอดภัยเลยครับ
  • ถ้าคุณต้องทำงานในที่ที่มีน้ำ น้ำมัน หรือสารเคมีบ่อย ๆ อย่าลืมเลือกรุ่นที่พื้นรองเท้าออกแบบมาให้กันของพวกนี้โดยเฉพาะ ใส่แล้วมั่นใจ เดินคล่องไม่ต้องเกร็งทุกก้าว

5. รองเท้าเซฟตี้ พังไว เย็บไม่แน่น พื้นหลุด

  • ใช้รองเท้าราคาถูกที่ไม่ได้ผ่านมาตรฐานอุตสาหกรรม อันนี้หลายคนคิดว่าแค่ใส่ได้ก็พอ แต่จริง ๆ แล้วคุณภาพมันต่างกันมากครับ พังไว เจ็บตัวไว ไม่คุ้มเลย
  • วัสดุที่เชื่อมพื้นกับตัวรองเท้าไม่ทนทาน เจอหน้างานหนัก ๆ หน่อยนี่หลุดเป็นชิ้น ๆ ได้เลย ใส่แล้มั่นใจไม่ลงจริง ๆ
  • ใช้งานผิดประเภท เช่น รองเท้าที่ออกแบบมาใช้กลางแจ้ง แต่ดันไปใส่ในพื้นที่ที่มีสารเคมีหรือความร้อนสูง แบบนี้ไม่พังเร็วก็อันตรายต่อเท้าแน่นอนครับ

วิธีแก้

  • เลือกรุ่นที่ใช้ การเย็บแบบ Goodyear Welt หรือ Cement Construction เพราะการเย็บแบบนี้จะทำให้รองเท้าทนทานกว่าแบบกาวทั่วไปเยอะ ใส่ลุยแค่ไหนก็ไม่ต้องกลัวพื้นหลุดระหว่างวันครับ
  • มองหารองเท้าที่มีใบรับรองมาตรฐาน เช่น มอก. หรือมาตรฐาน EN ISO 20345 เพราะนั่นคือสัญญาณว่าผ่านการทดสอบมาแล้ว ใส่แล้วอุ่นใจได้ว่าเซฟจริง ไม่ใช่แค่หน้าตาดี
  • และที่สำคัญ เลือกรุ่นที่ออกแบบมาตรงกับงานที่คุณทำเลยครับ เช่น ถ้าต้องลุยฝนก็ต้องกันน้ำ ถ้าทำงานกับสารเคมีหรือเจอความร้อนก็ต้องเลือกรุ่นที่รับมือกับสิ่งนั้นได้ อย่าใช้รองเท้าคู่เดียวลุยทุกสนาม เพราะสุดท้ายมันจะไม่เวิร์กกับทุกสถานการณ์

7 ปัญหาที่เจอกับ รองเท้าเซฟตี้ และวิธีเลือกรุ่นที่เหมาะกับการใช้งาน

6. ใส่ รองเท้าเซฟตี้ นานๆแล้วปวดเข่า ปวดหลัง

  • พื้นรองเท้าแข็ง ไม่มีการซัพพอร์ตอุ้งเท้าและแรงกระแทกเลย ใส่ไปนาน ๆ นี่เท้าแทบจะร้องไห้ เพราะทุกแรงกระแทกจากพื้นส่งตรงถึงเข่าและหลังแบบไม่มีตัวช่วยซับเลยครับ
  • ส้นรองเท้าเอียง หรือความสูงไม่สมดุล บางคู่เดินแล้วเหมือนขาเราไม่เท่ากัน เผลอ ๆ เดินไปนาน ๆ ปวดหลังโดยไม่รู้ตัว เหมือนใส่รองเท้าสองข้างที่คนละความสูงยังไงยังงั้นเลยครับ

วิธีแก้

  • เลือก รองเท้าเซฟตี้ ที่มีพื้นรองเท้าด้านในแบบ Shock Absorption หรือมีแผ่นรองเสริมอุ้งเท้า จะช่วยลดแรงกระแทกที่เท้ารับในแต่ละก้าว เหมือนมีเบาะรองรับไว้ตลอดเวลา ใส่แล้วเดินได้นานขึ้นแบบไม่ต้องพักบ่อย ๆ
  • เลือกรุ่นที่ออกแบบ Ergonomic Sole Design ที่ช่วยกระจายแรงกดได้ดี เวลาเดินหรือยืนทั้งวันจะรู้สึกว่าท่าเดินเราเป็นธรรมชาติมากขึ้น ไม่ฝืน ไม่เกร็ง
  • ถ้ายังรู้สึกว่าเท้ายังเมื่อย ๆ อยู่ ลองใช้อินโซล (Insole) เสริมคุณภาพดีเข้าไป เช่น แบบเจลหรือเมมโมรี่โฟม จะช่วยให้เท้านุ่ม เด้ง และสบายเหมือนเดินอยู่บนเบาะนุ่ม ๆ ทั้งวันเลยครับ

7. หา รองเท้าเซฟตี้ ที่ดูดี ใส่นอกเวลางานไม่ได้

  • ดีไซน์ของ รองเท้าเซฟตี้ ส่วนใหญ่มักจะเน้นเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก จนบางทีลืมนึกถึงเรื่องหน้าตาไปเลยครับ ใส่แล้วดูรู้เลยว่า รองเท้าทำงาน ลุคนี้คือเข้าไซต์ก่อสร้างแน่นอน!

  • รูปลักษณ์โดยรวมมักจะเทอะทะหนา ๆ หน่อย ใส่กับกางเกงยีนส์วันหยุดหรือเสื้อเชิ้ตเท่ ๆ นี่อาจทำให้ดูขัดกันนิดนึง หลายคนเลยรู้สึกว่าใส่นอกเวลางานไม่ค่อยคล่องตัว

วิธีแก้

  • ปัจจุบันมี รองเท้าเซฟตี้ สไตล์สปอร์ตหรือสตรีท ที่หน้าตาแทบจะแยกไม่ออกเลยครับว่าเป็นรองเท้าทำงาน บางคู่ดูเหมือนรองเท้าผ้าใบเท่ ๆ ใส่ไปเที่ยวกับเพื่อนยังได้เลย!
  • แนะนำให้เลือกรุ่นที่ใช้สีเรียบ ๆ อย่าง ดำ เทา ขาว หรือโทน earth tone เพราะจะเข้ากับเสื้อผ้าได้ง่าย และดูไม่ขัดสายตาจนคนรู้ว่าเป็น รองเท้าเซฟตี้
  • แต่ก็อย่าลืมนะครับ แม้หน้าตาจะดูแฟชั่นแค่ไหน ก็ต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่ารุ่นนั้นยังคงผ่านมาตรฐานความปลอดภัยอยู่ จะได้หล่อด้วย ปลอดภัยด้วย ครบจบในคู่เดียว

7 ปัญหาที่เจอกับ รองเท้าเซฟตี้ และวิธีเลือกรุ่นที่เหมาะกับการใช้งาน

วิธีเลือก รองเท้าเซฟตี้ ให้เหมาะกับการใช้งานของคุณ

งานในโกดังหรืองานขนของ

เลือกรุ่นที่หัวแข็งแรง กันกระแทกดี และน้ำหนักเบา เพราะงานแบบนี้ต้องยกของ เดินเยอะ ถ้าใส่ รองเท้าเซฟตี้ หนักเกินไปคือเมื่อยแน่นอนครับ แต่ก็อย่าลืมว่าความปลอดภัยต้องมาก่อน ต้องป้องกันของตกใส่เท้าให้ได้ด้วย

ควรมีพื้นกันลื่นและกันทะลุ เพราะในโกดังหรือจุดโหลดของ พื้นมักจะลื่นหรือมีเศษวัสดุที่เหยียบแล้วเจ็บสุดๆ รองเท้าดีๆ จะช่วยให้เราทำงานได้มั่นใจและไม่ต้องคอยกังวลทุกก้าว

งานก่อสร้างภายนอก

ควรเลือกรุ่นหุ้มข้อ เพราะเวลาเดินบนพื้นที่ขรุขระหรือปีนขึ้นลงบ่อย ๆ ข้อเท้ามีโอกรเจ็บได้ง่ายมาก การมี รองเท้าเซฟตี้ ที่หุ้มข้อไว้จะช่วยล็อกข้อเท้าให้อยู่กับที่ ลดโอกาสข้อแพลงได้เยอะเลยครับ

นอกจากนี้ รองเท้าเซฟตี้ ควรกันน้ำ กันฝุ่น และมีแผ่นพื้นกันทะลุด้วย เพราะหน้างานก่อสร้างมักมีทั้งฝน ดิน โคลน และเศษวัสดุคม ๆ อยู่ทั่วไป รุ่นที่ออกแบบมารับมือกับสิ่งเหล่านี้โดยเฉพาะจะช่วยให้คุณทำงานได้สบายใจ ไม่ต้องคอยกังวลว่าเท้าจะเปียกหรือโดนของแหลม ๆ ทิ่มครับ

งานช่างไฟ/ช่างเครื่อง

หลีกเลี่ยง รองเท้าเซฟตี้ ที่ใช้หัวเหล็ก เพราะเหล็กมันนำไฟฟ้าได้ง่าย ถ้าเจอสถานการณ์ฉุกเฉินเกี่ยวกับไฟฟ้าอาจไม่ปลอดภัย แนะนำให้เลือกแบบหัวคอมโพสิตแทนครับ ปลอดภัยกว่าเยอะ แถมน้ำหนักเบาด้วย ใส่สบายขึ้นอีก เลือก รองเท้าเซฟตี้ ที่มีพื้นกันลื่นดีเยี่ยมและมีฉนวนไฟฟ้าในตัว เพราะเวลาเดินในพื้นที่เปียกหรือต้องเจอกับสายไฟ จะได้ไม่ต้องคอยลุ้นทุกก้าวว่าวันนี้จะโดนไฟดูดไหม

งานในห้องเย็นหรือพื้นที่เปียกชื้น

รองเท้าเซฟตี้ ต้องกันน้ำได้ 100% เพราะแค่เท้าเปียกก็ทำให้อารมณ์ในการทำงานหมดไปครึ่งหนึ่งแล้วครับ ไหนจะกลิ่นอับ ไหนจะไม่สบายเท้าอีก พื้น รองเท้าเซฟตี้ ก็ห้ามลื่นเด็ดขาด เพราะในพื้นที่แบบนี้แค่ลื่นนิดเดียวอาจเกิดอุบัติเหตุได้เลย ถ้าต้องเข้าออกห้องเย็นทั้งวัน แนะนำให้เลือกแบบบูทยางที่มีซับในกันหนาวด้วย จะได้อุ่นเท้าและไม่ต้องกลัวว่าเท้าจะชื้นหรือเย็นจนเกินไป

งานเบาในออฟฟิศหรือเชิงธุรการภาคสนาม

เลือกแบบน้ำหนักเบา ดีไซน์ดูดี มีหัวกันกระแทกแต่ไม่ต้องหนาเกินไป จะได้ใส่ทำงานแล้วดูไม่เทอะทะจนเกินไป แถมยังเดินไปไหนต่อไหนได้โดยไม่รู้สึกเหมือนพกชุดเกราะติดเท้า ถ้าเลือกได้ รุ่นที่หน้าตาเหมือนรองเท้าหนังหรือผ้าใบจะยิ่งดีเลยครับ เพราะใส่ได้ทั้งในงานนอกงาน ไม่ต้องเปลี่ยน รองเท้าเซฟตี้ ทุกครั้งที่ออกไปเจอลูกค้าหรือเดินตลาด


เลือก > รองเท้าเซฟตี้ < ให้เหมาะกับงานของคุณ