Customers Also Purchased
ผมจะมาสรุปข้อมูลเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจก่อนซื้อเลื่อยไฟฟ้า ยิ่งใครผู้ที่ยังไม่แน่ใจว่าจะไปคุยกับช่างยังไง หรือยังลังเลระหว่างเลื่อยไฟฟ้าที่ความสามารถใกล้เคียงกัน จุดที่จะนำเสนอไม่ใช่แค่เรื่องสเปคในเชิงเทคนิคอย่างเดียว แต่เน้นมองภาพรวมว่าความหนาที่เหมาะสมสำหรับแต่ละรุ่นคือเท่าไหร่ และจะคุ้มค่าหรือไม่ในแง่การใช้งานจริงทั้งในบ้าน และหน้างานครับ
เพราะการมีข้อมูลเบื้องต้นในมือ จะช่วยให้คุณพูดคุยกับช่าง หรือพนักงานขายได้ตรงประเด็นมากขึ้น รู้ว่าควรถามอะไร และจะได้คำตอบที่ใกล้เคียงกับความต้องการจริง ไม่ต้องเสียเวลาให้ข้อมูลวนไปมา หรือเสี่ยงซื้ออุปกรณ์ที่เกิน หรือต่ำกว่าความจำเป็น
ประเภทของเลื่อยไฟฟ้าที่คนทั่วไปใช้กัน
ผมเข้าใจดีครับว่าหลายคนเวลาเดินเข้าร้านเครื่องมือช่างมักจะรู้สึกเกร็ง เพราะไม่รู้จะเริ่มถามจากตรงไหน และไม่มีเลื่อยไฟฟ้าไหนที่เหมาะกับเราทุกคน ดังนั้นการมีพื้นฐานเรื่องเลื่อยไฟฟ้าไว้นิดหน่อยจะช่วยประหยัดเวลา แถมยังทำให้คุณดูมีความมั่นใจเวลาพูดคุยด้วย
อีกอย่างที่ผมอยากย้ำคือ ไม่มีเลื่อยตัวไหนที่ดีที่สุดแบบครอบจักรวาล มันขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเอาไปใช้ตัดอะไร ตัดบ่อยแค่ไหน และตัดในสภาพแวดล้อมแบบไหนเสียมากกว่า ผมเองก็เคยใช้รุ่นแรง ๆ สุดท้ายไม่ได้ใช้แรงมากขนาดนั้น กลายเป็นได้เครื่องที่หนัก เก็บยาก เพราะงั้นข้อมูลที่คุณกำลังจะได้อ่านต่อไปนี้ ผมว่ามีประโยชน์มาก ถ้าคุณอยากเลือกเลื่อยไฟฟ้าให้ตรงกับการใช้งานของคุณจริง ๆ ครับ
ก่อนจะไปถึงเรื่องว่าเลื่อยไฟฟ้า แต่ละแบบตัดได้หนาเท่าไหร่ เรามาดูก่อนว่าเลื่อยไฟฟ้า สำหรับงานช่างมีแบบไหนบ้าง เพราะแต่ละแบบมันไม่ได้ออกแบบมาเพื่อใช้งานเหมือนกัน และบางแบบถึงจะตัดได้ลึกก็ใช่ว่าจะเหมาะกับทุกงานครับ
1. เลื่อยวงเดือน (Circular Saw)
เลื่อยไฟฟ้า ชนิดนี้เป็นที่นิยมมาก โดยเฉพาะสายไม้ครับ ทั้งงานเฟอร์นิเจอร์ DIY หรือช่างไม้จริงจัง เลื่อยวงเดือนมีจุดเด่นที่ให้รอยตัดตรง และแม่นยำ ใช้งานคู่กับไม้หน้าใหญ่ ๆ ได้ดีมาก และยังเหมาะกับการตัดไม้แผ่น หรือแผ่นไม้อัดที่มีความยาวพอสมควร เพราะสามารถตัดยาวได้ง่าย และรวด มีทั้งแบบมืถือ และแบบโต๊ะเลื่อยวงเดือน
จุดเด่นอีกอย่างคือความสามารถในการตัดในแนวตรงที่ค่อนข้างเสถียร โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับรางสไลด์นำ หรือมีโต๊ะทำงานที่มั่นคง ทำให้เหมาะกับผู้ที่ต้องการคุณภาพของรอยตัดที่เรียบ ไม่ต้องเสียเวลาขัด หรือแต่งซ้ำเยอะ จึงช่วยประหยัดเวลาในการทำงานไปได้มาก
แต่สิ่งที่ควรพิจารณา คือความลึกของการตัดจะจำกัดตามขนาดของใบเลื่อย และรูปทรงของเครื่องด้วย ถ้าเน้นตัดไม้หนาเกิน 3 นิ้วขึ้นไป อาจจะต้องดูรุ่นที่รองรับใบใหญ่ขึ้น หรือเปลี่ยนไปใช้เลื่อยแบบอื่น เช่น เลื่อยสายพาน ที่ออกแบบมาเพื่อการตัดลึกโดยเฉพาะ
ความหนาที่เหมาะสม:
- ขึ้นอยู่กับขนาดใบเลื่อย ถ้าเป็นใบขนาด 7 นิ้วครึ่ง (185 มม.) โดยทั่วไปจะตัดได้ลึกประมาณ 2.5 นิ้ว หรือประมาณ 63-65 มม.
- ถ้าเป็นใบ 9 นิ้ว หรือลึกกว่านั้น อาจตัดได้ประมาณ 75-85 มม.
ถ้าคุณแค่ทำงานไม้ทั่ว ๆ ไป เช่น ไม้สน ไม้ยาง ไม่เกิน 2 นิ้ว เลื่อยวงเดือนถือว่าตอบโจทย์เลย ใช้ง่าย เร็ว และมีรุ่นไร้สายให้เลือกเยอะด้วย แต่ถ้าจะตัดหนาเกินนี้อาจต้องมองรุ่นใบใหญ่ขึ้นหรือขยับไปใช้โต๊ะเลื่อยสายพานแทน
2. เลื่อยฉลุ เลื่อยจิ๊กซอว์ (Jigsaw)
เลื่อยไฟฟ้า ชนิดนี้จะเหมาะกับงานที่ต้องตัดโค้ง ตัดแนวอิสระ หรือวัสดุแผ่นบาง ๆ เช่น ไม้อัด หรือเหล็กแผ่นบาง (ใช้ใบเฉพาะทาง) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในงานที่ต้องการความยืดหยุ่นของแนวตัด เช่น การทำเฟอร์นิเจอร์ตกแต่ง หรือชิ้นงานที่มีลวดลายซับซ้อน ซึ่งเลื่อยชนิดนี้สามารถเลี้ยวซ้าย-ขวาได้คล่องตัวกว่าประเภทอื่น
แม้จะดูเล็กและกะทัดรัด แต่เลื่อยจิ๊กซอว์ก็มีให้เลือกหลายระดับ ตั้งแต่รุ่นสำหรับงานเบา ๆ ในบ้าน ไปจนถึงรุ่นมืออาชีพที่ใช้ในงานอุตสาหกรรม ซึ่งจะให้แรงกระแทก และความเร็วที่มากขึ้น พร้อมฟังก์ชันพิเศษ เช่น ปรับระดับการสั่น (Orbital) หรือเปลี่ยนใบง่ายโดยไม่ใช้เครื่องมือ
แต่ข้อจำกัดของมันก็คือ พอต้องตัดวัสดุหนาเกินไป ใบเลื่อยมักจะเบี่ยงเบนจากแนวตรง ทำให้รอยตัดไม่เรียบ หรือผิดองศาจากที่ตั้งใจไว้ เลื่อยไฟฟ้าชนิดนี้จึงเหมาะกับงานที่เน้นความยืดหยุ่นของรูปทรงมากกว่าความตรงเป๊ะของรอยตัด
ความหนาที่เหมาะสม:
- สำหรับไม้ทั่วไปไม่ควรเกิน 40-50 มม. เพราะถ้าหนากว่านี้ใบจะเบี้ยว และตัดไม่ตรง
- ถ้าเป็นเหล็ก ไม่ควรเกิน 2-3 มม. ขึ้นอยู่กับชนิดใบเลื่อย
เลื่อยจิ๊กซอว์เป็นเลื่อยไฟฟ้าที่ใช้ง่าย และราคาค่อนข้างประหยัด เหมาะกับผู้เริ่มต้นเป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่ควรใช้ตัดวัสดุหนา ๆ เพราะนอกจากจะเปลืองใบแล้ว ยังได้งานที่บิดเบี้ยวอีกต่างหาก
3. เลื่อยสายพาน (Band Saw)
เลื่อยสายพานเป็น เลื่อยไฟฟ้าเหมาะกับงานตัดที่ต้องการความละเอียด เช่น งานไม้หนา งานตัดเหล็กในโรงงาน หรืองานที่เน้นตัดแนวโค้งแต่ลึกกว่าที่จิ๊กซอว์ทำได้ โดยเฉพาะชิ้นงานที่ต้องการความแม่นยำสูง และต้องตัดผ่านวัสดุที่มีความหนามากแบบต่อเนื่อง เลื่อยสายพานให้รอยตัดที่เรียบ และตรงกว่าเลื่อยไฟฟ้า หลายประเภท จึงเลือกใช้กันในงานระดับมืออาชีพ หรือการผลิตจำนวนมากในโรงงาน
เลื่อยสายพานยังตัดโค้งในรัศมีที่แคบกว่าที่คิด ถ้าเลือกใบเลื่อยให้เหมาะสม โดยทั่วไปแล้วใบเลื่อยที่แคบจะช่วยให้ตัดโค้งได้ชัดเจนขึ้น ในขณะที่ใบที่กว้างจะให้รอยตัดตรง และแข็งแรง เหมาะกับการตัดตรงยาว ๆ มากกว่า นอกจากนี้การใช้เลื่อยสายพานแบบตั้งโต๊ะยังช่วยให้ควบคุมชิ้นงานได้มั่นคงกว่าการถือเครื่องตัดด้วยมืออีกด้วย
ถ้าคุณมีพื้นที่ในเวิร์กช็อป หรือโรงจอดรถ และมีความตั้งใจจะทำงานไม้ หรืองานเหล็กอย่างจริงจัง เลื่อยสายพานถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว แม้ราคาเครื่องจะสูงกว่าเลื่อยทั่วไป แต่เมื่อเทียบกับประสิทธิภาพ ความแม่นยำ และความหลากหลายในการใช้งานแล้ว ถือว่าให้ผลตอบแทนที่ดีมากครับ
ความหนาที่เหมาะสม:
- รุ่นตั้งพื้นตัดได้ตั้งแต่ 100 มม. จนถึง 300 มม. ได้สบาย (ขึ้นอยู่กับขนาดและรุ่น)
- รุ่นพกพาแบบไร้สาย มักใช้กับท่อเหล็กหรือตัดแท่งโลหะ โดยทั่วไปไม่เกิน 120 มม.
ถ้าคุณทำงานไม้แบบจริงจัง หรืองานเหล็กแบบที่ต้องการตัดเนียน ๆ เลื่อยสายพานคือตัวเลือกที่คุ้มมาก แต่อาจจะไม่เหมาะกับงานเล็ก ๆ ในบ้าน เพราะทั้งราคา และขนาดที่ค่อนข้างใหญ่
4. เลื่อยชัก (Reciprocating Saw)
เลื่อยไฟฟ้าชนิดนี้ เหมาะกับงานรื้อถอน งานตัดท่อ PVC ตัดเหล็ก ตัดไม้ ได้หมด โดยเฉพาะในพื้นที่แคบ ๆ ที่เลื่อยวงเดือนเข้าไปไม่ถึง อีกจุดหนึ่งที่หลายคนชอบคือการใช้งานที่ไม่ซับซ้อน แค่เสียบใบให้ตรง เลือกความยาวที่พอเหมาะ ก็สามารถตัดวัสดุได้หลากหลาย ไม่ต้องเปลี่ยนเครื่องมือไปมา
เลื่อยชักยังเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับงานที่ต้องตัดใกล้ผนัง หรือพื้นที่มีสิ่งกีดขวางเยอะ เพราะหัวเครื่องสามารถเอียงหรือเลื้อยเข้าไปได้โดยไม่ติด เช่น เวลาตัดท่อน้ำในผนัง หรือจะตัดไม้เก่า ๆ ที่ตอกตะปูฝังแน่น เลื่อยชักก็กัดทะลุไปได้เลยแบบไม่ต้องกังวลว่าใบจะสะดุดมากนัก
อย่างไรก็ตาม ถ้าจะใช้งานให้ปลอดภัย ควรเลือกใบเลื่อยให้เหมาะกับวัสดุ เช่น ถ้าใช้ใบสำหรับไม้ไปตัดเหล็ก ใบจะสึกเร็วและมีโอกาสหักกลางคัน นอกจากนี้ควรใส่ถุงมือ และแว่นตาทุกครั้ง เพราะเศษวัสดุที่แตกออกมาจากเลื่อยชักค่อนข้างแรง และกระจายกว้างครับ
ความหนาที่เหมาะสม:
- ไม้ทั่วไปตัดได้ถึง 100-150 มม. แต่ขึ้นอยู่กับความยาวใบด้วย
- เหล็กหรือท่อเหล็กควรไม่เกิน 10-12 มม. สำหรับงานตัดง่าย ๆ
ถ้าคุณต้องตัดท่อในที่แคบ หรืองานรื้อถอนที่ต้องตัดหลายแบบปนกัน เลื่อยชักช่วยได้เยอะมาก เพราะมันไม่เน้นความเรียบร้อย แต่เน้นตัดได้ทุกอย่างจริง ๆ
5. เลื่อยองศา (Mitre Saw)
เลื่อยไฟฟ้าสำหรับงานตัดมุม เช่น งานกรอบรูป งานตัดไม้หน้าแคบ หรือวัสดุพวกไม้บัว ยิ่งในงานที่ต้องการความเป๊ะของมุม เช่น การเข้ามุมไม้บัวรอบประตู หรือหน้าต่าง การต่อไม้แบบไร้รอยต่อ หรืองานตกแต่งแนวโมเดิร์นที่เน้นรอยตัดคมชัด เลื่อยองศาเป็นเครื่องมือที่ตอบโจทย์แบบสุด ๆ ครับ
นอกจากจะตัดมุมได้แม่นแล้ว เลื่อยองศารุ่นที่มีฐานเลื่อนได้ ยังช่วยให้เราตัดไม้ที่กว้างได้ง่ายขึ้น เช่น ไม้แผ่น หรือ MDF ที่ต้องตัดตลอดความกว้าง ซึ่งถ้าใช้เลื่อยวงเดือนอาจต้องมานั่งกะมุม หรือใช้รางเสริมให้วุ่น แต่เลื่อยองศาทำได้ในจังหวะเดียว แถมรอยตัดยังตรงสวยด้วย
อีกเรื่องที่ที่ทำให้น่าใช้ คือความปลอดภัยและความสะดวก เพราะเลื่อยองศามีที่กั้นชิ้นงาน และมือจับที่ออกแบบให้มั่นคง เวลาตัดแล้วชิ้นงานจะไม่ส่าย ไม่ลื่น ทำให้เราควบคุมได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะถ้าเป็นมือใหม่ที่ยังไม่มั่นใจกับเครื่องใหญ่ ๆ อย่างเลื่อยวงเดือน หรือเลื่อบสายพานครับ
ความหนาที่เหมาะสม:
- ความลึกของการตัดอยู่ที่ขนาดใบ และการเลื่อนของฐาน ถ้าเป็นใบ 10 นิ้วแบบเลื่อนจะตัดได้ถึง 75-90 มม. (ลึกสุดที่โครงสร้างเลื่อยรองรับ)
- ถ้าใบใหญ่ขึ้นเป็น 12 นิ้วอาจตัดได้ลึกถึง 100-120 มม.
เลื่อยองศา เป็นเลื่อยที่งานออกมาสวยสุดในบรรดาเลื่อยไฟฟ้า เหมาะกับคำที่ทำเฟอร์นิเจอร์ ตัดไม้บัว หรือต้องการความแม่นยำเรื่องของมุม
สรุปความลึกที่เหมาะสมของ เลื่อยไฟฟ้า แต่ละประเภท
เพื่อช่วยให้เห็นภาพรวมของเลื่อยไฟฟ้าแต่ละประเภทได้ชัดเจนมากขึ้น ผมขอสรุปแบบเข้าใจง่าย ๆ ว่าแต่ละแบบเหมาะกับงานแบบไหน จุดเด่นอยู่ตรงไหน และต้องระวังอะไรเป็นพิเศษบ้าง เพราะแม้เลื่อยไฟฟ้าทุกชนิดแม้จะตัดได้เหมือนกัน แต่ความเฉพาะทางของมันก็ไม่เหมือนกันเลยครับ
- เลื่อยวงเดือน: เหมาะกับงานที่ต้องตัดตรง รอยเรียบเร็ว และใช้บ่อย เช่นในงานไม้ทั่วไป แต่ต้องระวังเรื่องใบสะบัดหากจับเครื่องไม่มั่น และอย่าฝืนตัดไม้หนาเกินกว่าที่เครื่องรองรับ เพราะอาจทำให้มอเตอร์ร้อน และใบสึกเร็ว
- เลื่อยจิ๊กซอว์: ตอบโจทย์เรื่องอิสระในการตัดแนวโค้ง เหมาะกับงานศิลป์ และงานตกแต่ง แต่ไม่ควรนำไปตัดงานที่ต้องการความแม่นยำสูง หรือหนาเกินไป เพราะใบจะเบี้ยวได้ง่าย
- เลื่อยสายพาน: จุดแข็งคือการตัดลึกได้แบบไม่สะดุด รอยเรียบ ควบคุมทิศทางดี แต่อุปกรณ์ใหญ่ ใช้พื้นที่มาก ต้องมีพื้นที่ทำงานที่เหมาะสม และผู้ใช้งานควรมีประสบการณ์บ้างเพื่อควบคุมได้เต็มที่
- เลื่อยชัก: เป็นเลื่อยไฟฟ้า เอนกประสงค์ ใช้ตัดได้เกือบทุกอย่าง ทั้งไม้ เหล็ก พลาสติก เป็นตัวเลือกที่เหมาะกับงานรื้อถอน หรืองานช่างภาคสนาม แต่ต้องระวังแรงสะบัดในจังหวะเริ่มตัด และควรใช้ใบให้ตรงกับวัสดุเสมอเพื่อความปลอดภัย
- เลื่อยองศา: เหมาะกับงานที่ต้องการความแม่นยำเรื่ององศา เช่น ตัดบัว ตัดกรอบ และงานประกอบไม้ที่เน้นความเป๊ะ แต่มีข้อจำกัดตรงที่ไม่เหมาะกับการตัดโค้ง หรืองานที่ต้องปรับมุมแปลก ๆ มากเกินไป
สรุปง่าย ๆ คือ อย่าเลือกเลื่อยจากความสามารถตัดอย่างเดียว แต่ให้ดูว่าคุณจะใช้มัน ตัดอะไร และ ตัดอย่างไร ถ้าเข้าใจสองอย่างนี้ชัด เลือกเลื่อยยังไงก็ไม่พลาดครับ
สุดท้าย: อย่าเชื่อแค่ตัวเลขในคู่มือ
แม้ว่าเลื่อยไฟฟ้าทุกรุ่นจะบอกความสามารถในการตัดเป็นมิลลิเมตร แต่เมื่อใช้งานจริง ตัวเลขเหล่านี้อาจไม่ใช่คำตอบทั้งหมดครับ เพราะความหนาที่ระบุไว้บนกระดาษ กับสิ่งที่ตัดได้จริงในสถานการณ์ต่าง ๆ มันไม่เหมือนกันเลย วัสดุที่ใช้ตัดเองก็มีผลเยอะมาก เช่น ไม้เนื้อแข็งบางชนิด หรือไม้ที่ยังชื้นอยู่ จะทำให้เครื่องทำงานหนักกว่าเดิม และอาจทำให้รอยตัดเบี้ยวหรือต้องออกแรงมากกว่าที่คิดไว้
อีกอย่างคือความยาว และความคมของใบเลื่อย ถ้าใบไม่ยาวพอ หรือเริ่มทื่อแล้ว การตัดก็จะฝืด เสี่ยงที่เครื่องจะสะดุด หรือต้องตัดซ้ำ ส่วนเครื่องราคาถูกหลายรุ่น แม้สเปคจะบอกว่าตัดได้ลึกเท่ากัน แต่การควบคุมทิศทาง หรือแรงสั่นสะเทือนอาจทำให้ใช้งานได้ยากขึ้นในระยะยาว
เพราะฉะนั้น อย่าเชื่อแค่ตัวเลขในคู่มืออย่างเดียวครับ ลองหาข้อมูลจากหลายแหล่ง เช็กรีวิว หรือถ้ามีโอกาสก็ลองเครื่องจริงก่อนซื้อจะดีที่สุด จะได้รู้ว่าสิ่งที่เขียนในโบรชัวร์มันตรงกับสิ่งที่คุณจะนำมาใช้หรือเปล่า
หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจ เลื่อยไฟฟ้า ได้มากขึ้น และเลือกสิ่งที่เหมาะกับงานของคุณครับ