รู้จัก ระบบต่างๆ ของ ตู้เชื่อม TIG มีอะไรบ้างที่ต้องดูก่อนเลือก?

เคยเจอไหมครับ เวลาเห็นคลิปหรือเห็นช่างเชื่อมทำงานแล้วรู้สึกแบบ... โอ้โห ทำไมรอยเชื่อมมันเนียนจัง ดูแล้วสวยเหมือนงานศิลปะ ไม่มีสะเก็ด ไม่มีไหม้ เรียบกริ๊บเหมือนวาดด้วยปากกา อยากทำได้แบบนั้นบ้าง เลยเริ่มหาข้อมูลดู แล้วก็เจอกับคำว่า ตู้เชื่อม TIG เต็มไปหมด

แต่พอเจอละเอียดจริง ๆ ก็เริ่มงง! ทั้งคำว่า AC, DC, HF Start, Pulse, 2T 4T อะไรไม่รู้เต็มไปหมด ฟังดูยากเหมือนต้องเป็นช่าง หรือเรียนวิศวะมาก่อน ทั้งที่จริง ๆ แล้ว มันไม่ได้ยากขนาดนั้นเลยครับ แค่มีคนมาเล่าให้ฟังแบบกันเอง ไม่ต้องใช้ศัพท์ยาก ๆ คุณก็เข้าใจได้แน่นอน

ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่ที่กำลังเริ่มต้นสนใจการเชื่อม หรือเป็นคนที่เคยใช้ตู้เชื่อมแบบ MMA หรือ MIG มาก่อน แล้วกำลังอยากลองขยับไปใช้ ตู้เชื่อม TIG เพื่อคุณภาพงานที่สูงขึ้น เราจะมาลงลึกกันแบบเข้าใจง่าย ไม่เร่ง ไม่รีบ ค่อย ๆ ไขข้อข้องใจทีละจุด จนคุณรู้สึกว่า... อ๋อ มันก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิดแฮะ!

ตู้เชื่อม TIG คืออะไร?

ก่อนจะไปไกลถึงเทคนิค เรามาเริ่มกันตรงนี้ก่อนครับ ตู้เชื่อม TIG ใช้กระบวนการเชื่อมที่ใช้ลวดทังสเตนเป็นตัวสร้างอาร์กไฟฟ้า แล้วใช้แก๊สเฉื่อยอย่างอาร์กอนในการปกป้องแนวเชื่อมจากการปนเปื้อนของอากาศ

ฟังดูเหมือนจะไฮเทคใช่ไหมครับ? แต่ข้อดีของมันคือสามารถเชื่อมชิ้นงานได้สวย คุมความร้อนได้ดี ไม่มีสะเก็ดไฟกระเด็นเหมือนพวก MIG หรือ MMA เลย ทำให้เป็นที่นิยมในงานที่ต้องการความเนี๊ยบ เช่น งานเฟอร์นิเจอร์ งานซ่อมเครื่องจักร ชิ้นส่วนยานยนต์ หรืองานอลูมิเนียมทั้งหลาย ถ้าคุณเคยเห็นรอยเชื่อมที่ดูเหมือนเกล็ดปลา หรือแนวเชื่อมที่สะอาดไม่มีเขม่าเลย 90% มาจากตู้เชื่อม TIG นี่แหละครับ

การเชื่อมแบบ TIG ยังเป็นที่นิยมในหมู่ช่างที่ต้องการควบคุมรอยเชื่อมได้ละเอียด หรือแม้แต่ในวงการอุตสาหกรรมที่เน้นงานเชื่อมเกรดสูง เช่น การบินและอวกาศ หรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ เพราะมันให้ความเที่ยงตรงสูง ควบคุมอุณหภูมิได้แม่น และเชื่อมวัสดุหลากหลายประเภทได้ดี

ระบบกระแสไฟ: DC, AC และ AC/DC ต่างกันยังไง?

นี่คือเรื่องแรกที่หลายคนสับสนมาก โดยเฉพาะมือใหม่ เวลาหาซื้อตู้เชื่อม TIG แล้วมันคืออะไรกันแน่? ต้องใช้แบบไหน?

รู้จัก ระบบต่างๆ ของ ตู้เชื่อม TIG มีอะไรบ้างที่ต้องดูก่อนเลือก

ระบบ DC (Direct Current)

ตู้เชื่อม TIG ระบบ DC ก็คือแบบที่ใช้ไฟไหลทางเดียว ไม่ขึ้น ๆ ลง ๆ ให้ยุ่งยาก ทำให้รอยเชื่อมที่ได้เรียบ นิ่ง คุมได้ง่าย เหมาะกับงานเหล็ก หรืองานสแตนเลสทั่วไปที่ช่างใช้กันบ่อย ๆ โดยเฉพาะงานเชื่อมในบ้าน หรืองาน DIY

ข้อดีของระบบนี้คือใช้งานง่าย ไม่ต้องตั้งค่าเยอะ มือใหม่ก็เริ่มได้สบาย ๆ และที่สำคัญคือราคาเครื่องแบบนี้จะถูกกว่าพวกระบบที่มี AC เสริมอีก เพราะมันไม่ต้องมีวงจรซับซ้อนมาก เหมาะกับคนที่อยากเริ่มต้นทดลองใช้งานก่อน หรือเน้นงานเหล็กล้วน ๆ ไม่ได้ต้องการเชื่อมอลูมิเนียมอะไรให้วุ่นวาย

ระบบ AC (Alternating Current)

ตู้เชื่อม TIG ระบบ AC หรือกระแสสลับ จะสลับขั้วบวก-ลบตลอดเวลา เหมาะสำหรับเชื่อมวัสดุพิเศษอย่างอลูมิเนียม และแมกนีเซียม เพราะช่วยล้างคราบออกไซด์ที่เกาะอยู่บนผิววัสดุ ทำให้เชื่อมติดง่ายขึ้น รอยเชื่อมสะอาด ไม่หลุดร่อนง่าย ซึ่งระบบนี้ส่วนมากจะมีอยู่ในเครื่องเชื่อมที่เป็นแบบ AC/DC เท่านั้น

พูดง่าย ๆ ถ้าเครื่องไหนเชื่อม AC ได้ ก็เชื่อม DC ได้ด้วย เพราะ AC เพียว ๆ แทบไม่มีขายในท้องตลาด ส่วนใหญ่ถ้าเจอเครื่องเชื่อม TIG ที่มีโหมด AC ก็มักจะรวมฟังก์ชัน DC มาให้ในตัวเลย เรียกว่าซื้อเครื่องเดียวใช้ได้กับงานทุกประเภท

แล้ว AC/DC ล่ะ?

ก็ตามชื่อเลยครับ มันสลับได้ทั้งสองโหมด! เป็น ตู้เชื่อม TIG ที่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเครื่องเดียวจบ จะเหล็กก็ได้ จะอลูฯ ก็ได้ ไม่ต้องซื้อใช้หลายเครื่องให้เสียเวลา เหมาะกับคนที่คิดจะทำงานจริงจัง หรือต้องรับงานที่หลากหลาย
การที่ตู้เชื่อม TIG มีระบบ AC ด้วยนั้นจะทำให้เชื่อมงานอลูมิเนียมได้แบบจริงจัง เพราะวัสดุชนิดนี้มีฟิล์มออกไซด์ที่ต้องใช้ AC เท่านั้นในการ “ทำความสะอาดผิว" ก่อนจะเชื่อมให้ติด และถ้าตู้มีฟังก์ชัน AC Balance ด้วยล่ะก็... เชื่อมอลูได้แบบมือโปรเลยครับ

ฟังก์ชันเสริมที่ควรรู้ ก่อนซื้อ

ตู้เชื่อม TIG เดี๋ยวนี้ไม่ได้มีแค่เปิดสวิตช์แล้วเชื่อมอย่างเดียวครับ แต่เครื่องรุ่นใหม่ ๆ โดยเฉพาะพวกอินเวอร์เตอร์ หรือเครื่องระดับกลางขึ้นไป มักจะมีฟังก์ชันเสริมเพียบ ช่วยให้เชื่อมได้ง่ายขึ้น รอยสวยขึ้น และลดโอกาสพังของหัวเชื่อมได้ด้วย ลองมาดูกันครับว่ามีอะไรที่ควรรู้บ้าง

1. HF Start (High Frequency Start)

พูดง่าย ๆ ว่า "สตาร์ตไม่ต้องเขี่ย" คือระบบ ตู้เชื่อม TIG ที่ช่วยให้เริ่มจุดอาร์กได้เลย โดยไม่ต้องให้หัวเชื่อมไปสัมผัสกับชิ้นงานก่อนแบบระบบทั่ว ๆ ไป ซึ่งมันมีข้อดีหลายอย่างเลยครับ เช่น:
  • หัวทังสเตนไม่ไปโดนชิ้นงาน ทำให้ไม่ปนเปื้อน
  • แนวเชื่อมออกมาสะอาด เรียบเนียน ไม่มีรอยจุดดำจากการแตะ
  • เพิ่มความแม่นยำตอนเริ่มเชื่อม เพราะไม่ต้องขยับหัวมือให้เป๊ะ ๆ
  • ใช้งานง่าย โดยเฉพาะเวลาเชื่อมจุดเล็ก หรือวัสดุบาง ๆ
ใครที่เน้นคุณภาพรอยเชื่อมสวย ๆ หรือไม่อยากเปลี่ยนหัวทังสเตนบ่อย ๆ ฟังก์ชันนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่น่ามีติดเครื่องไว้เลยครับ

2. Lift TIG (หรือ Tig เขี่ย)

ระบบนี้ต่างจาก HF Start ตรงที่คุณต้องแตะหัวเชื่อมลงบนชิ้นงานเบา ๆ แล้วค่อยยกขึ้น ถึงจะเริ่มเกิดประกายไฟได้ เหมือน "แตะแล้วดึง" เพื่อเริ่มเชื่อม ข้อดีคือเครื่องไม่ซับซ้อน ราคาย่อมเยากว่า แต่ก็มีข้อเสียตรงที่ต้องใช้มือแม่นหน่อย เพราะถ้าแตะนานเกินไป หัวเชื่อมอาจเปื้อน หรือรอยเชื่อมไม่สวยได้
  • ราคาถูกกว่า เพราะไม่ต้องมีวงจรความถี่สูง
  • ลดความซับซ้อนของเครื่อง เหมาะกับเครื่องรุ่นเล็ก หรือพกพา
  • อาจทำให้หัวทังสเตนปนเปื้อนได้ง่ายกว่าหากแตะนานเกินไป
  • ต้องมีทักษะนิดหน่อยในการแตะให้พอดี ไม่ให้ลึก หรือแรงเกิน
เหมาะกับคนที่เน้นราคาประหยัด หรือใช้เชื่อมงานทั่วไปแบบไม่เน้นรอยเชื่อมพรีเมียมมากนักครับ

สรุปคือคุณต้องแตะหัวเชื่อมเบา ๆ กับชิ้นงานก่อน แล้วค่อยยกขึ้นถึงจะเริ่มจุดอาร์ก คล้ายระบบ HF แต่ประหยัดต้นทุนกว่า มีในเครื่องรุ่นราคาย่อมเยา ใช้ได้ครับ แต่อาจไม่สะดวกเท่าระบบ HF

3. Pulse Mode

ตู้เชื่อม TIG ระบบนี้จะปล่อยกระแสเชื่อมเป็นจังหวะ ๆ ช้า-เร็วสลับกัน เหมาะกับงานที่ต้องการควบคุมความร้อนให้ดี โดยเฉพาะวัสดุบางมาก ๆ อย่างเช่นแผ่นอลูมิเนียมบาง ๆ หรือท่อบาง ๆ ข้อดีของมันก็คือ:
  • ลดโอกาสทะลุ หรือไหม้
  • ทำให้รอยเชื่อมละเอียดและคุมได้ง่ายขึ้น
  • ช่วยควบคุมบ่อหลอมไม่ให้ไหลมากเกินไป
  • เหมาะกับงานที่ต้องเชื่อมในจุดบอบบาง หรือชิ้นเล็ก
ใครที่ต้องการพัฒนาฝีมือ หรือเริ่มรับงานที่ต้องใช้ความแม่น ฟังก์ชันนี้ถือว่ามีประโยชน์มากครับ

การปล่อยกระแสเชื่อมเป็นจังหวะ ๆ นั้นเหมาะกับงานที่ชิ้นงานบางมาก ต้องคุมความร้อนแบบสุด ๆ ช่วยให้รอยไม่ทะลุ ไม่ไหม้ รอยสวยมาก มือใหม่อาจจะยังไม่จำเป็น แต่ถ้าเชื่อมเยอะขึ้น จะรู้ว่ามีแล้วดีจริง ๆ

4. 2T / 4T

ฟังก์ชันนี้เกี่ยวกับวิธีควบคุมการกดปุ่มเชื่อมครับ:
  • 2T (2-Step): กดแล้วเชื่อม ปล่อยแล้วหยุด ใช้ง่าย เหมาะกับงานเชื่อมสั้น ๆ
  • 4T (4-Step): กดเพื่อเริ่ม ปล่อยมือไว้ แล้วกดอีกครั้งเพื่อหยุด เหมาะกับงานเชื่อมยาว ๆ เพราะไม่ต้องกดค้างให้เมื่อยมือ
ใครที่ต้องเชื่อมต่อเนื่องนาน ๆ หรือเน้นความสบายมือ ตู้เชื่อม TIG ระบบนี้ช่วยให้คุณไม่เมื่อย ไม่พลาดระหว่างทางครับ

รู้จัก ระบบต่างๆ ของ ตู้เชื่อม TIG มีอะไรบ้างที่ต้องดูก่อนเลือก

5. Down Slope / Up Slope

ฟังก์ชันนี้ช่วยให้การเริ่ม และหยุดเชื่อมเป็นไปอย่างนุ่มนวลครับตู้เชื่อม TIG จะไม่กระชากไฟ ไม่ทำให้เกิดรอยไหม้ หรือรอยนูนที่ปลายแนวเชื่อม:
  • Up Slope: ค่อย ๆ เพิ่มกระแสตอนเริ่ม ไม่ให้รุนแรงเกินไป
  • Down Slope: ค่อย ๆ ลดกระแสตอนหยุด ลดรอยไหม้ หรือบ่อหลอมลึกเกิน
  • เหมาะกับงานที่ต้องการความเนี๊ยบ และวัสดุที่ไวต่อความร้อน
ตู้เชื่อม TIG ที่มีระบบนี้จะช่วยให้การเริ่ม และหยุดการเชื่อมราบเรียบขึ้น ไม่เกิดรอยกระชาก รอยไหม้ที่ปลายแนวเชื่อม ลดโอกาสรอยแตก รอยนูน ดูเป็นมือโปรมากขึ้นเยอะครับ

ถือว่าเป็นตัวช่วยสำคัญสำหรับคนที่อยากให้งานดูมืออาชีพตั้งแต่ต้นจนจบแนวครับ

6. AC Balance (สำหรับเครื่องเชื่อมที่มีโหมด AC)

ฟังก์ชันนี้จะช่วยให้คุณควบคุมการเชื่อมอลูมิเนียมได้แม่นยำขึ้น โดยปรับอัตราส่วนระหว่างพลังงานที่ ตู้เชื่อม TIG ใช้ ล้างออกไซด์ กับพลังงานที่ใช้ หลอมวัสดุ:
  • ปรับให้แนวเชื่อมสะอาดขึ้น โดยไม่เสียความลึกของการหลอม
  • ลดการสึกหรอของหัวทังสเตน
  • เหมาะกับงานอลูมิเนียมที่มัความหนา-บางหลากหลาย
ควบคุมอัตราส่วนระหว่างการล้างออกไซด์กับการหลอมวัสดุ ช่วยให้เชื่อมอลูมิเนียมได้เนียน และควบคุมรอยเชื่อมได้ละเอียดขึ้น

ถ้าใครตั้งใจจะเชื่อมอลูมิเนียมจริงจัง ฟังก์ชันนี้ช่วยให้คุณได้รอยเชื่อมที่สวย และสะอาดมากขึ้นแน่นอนครับ

รู้จัก ระบบต่างๆ ของ ตู้เชื่อม TIG มีอะไรบ้างที่ต้องดูก่อนเลือก

ตู้เชื่อม TIG เหมาะกับใคร?

หลังจากที่เรารู้จักฟังก์ชันต่าง ๆ ไปพอสมควรแล้ว หลายคนน่าจะเริ่มคิดแล้วใช่ไหมครับว่า ตกลงเราต้องใช้ตู้เชื่อมแบบไหน? แบบไหนเหมาะกับงานที่เราจะทำ? บางคนอาจจะอยากได้แค่เครื่องเล็ก ๆ เอามาเชื่อมโครงเหล็กเล่น ๆ ที่บ้าน บางคนอยากแต่งรถ อยากเชื่อมอลูมิเนียม หรือบางคนจริงจังมากถึงขั้นจะเปิดร้านรับงานเชื่อมเต็มตัว

ฟังก์ชันที่พูดมาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น HF Start, Pulse Mode, 2T/4T หรือแม้แต่ AC/DC แต่ละอย่างมันมีประโยชน์กับคนที่ใช้งานในแบบที่ต่างกัน เราเลยอยากชวนให้คุณลองคิดแบบนี้ครับ... ลองนึกถึงว่างานที่คุณทำบ่อย ๆ เป็นแบบไหน วัสดุที่ใช้คืออะไร แล้วคุณอยากให้งานออกมาสวยแค่ไหน ถ้าแค่งานเหล็กเบา ๆ ไม่มีอลูเลย อาจเริ่มจาก ตู้เชื่อม TIG ระบบ DC อย่างเดียวก่อนก็ได้ แต่ถ้าคิดว่าอีกหน่อยจะขยับไปทำงานอลูมิเนียมด้วย แนะนำให้ข้ามไป AC/DC ไปเลยดีกว่า เพราะจะคุ้มกว่าในระยะยาว
  • มือใหม่ DIY: เริ่มจาก DC ธรรมดาก่อน ใช้ง่าย ราคาย่อมเยา เชื่อมเหล็ก เชื่อมโครงเล็ก ๆ ได้หมด
  • เชื่อมอลูมิเนียม: ต้องใช้ระบบ AC หรือ AC/DC เท่านั้น ไม่มีทางลัดครับ
  • ช่างรับงานหลากหลาย: ซื้อ AC/DC ไปเลยจบ เชื่อมได้ทุกวัสดุ ตั้งแต่เหล็กยันอลูฯ คุ้มค่าระยะยาว
  • คนที่ต้องการรอยเชื่อมสวยขั้นเทพ: มองหารุ่นที่มี HF Start Pulse และฟังก์ชันควบคุมครบ จะช่วยให้ทำงานได้เนี๊ยบ และเร็วขึ้น

สรุป

หากคุณอยากเลือกตู้เชื่อม TIG ให้เหมาะกับตัวเองจริง ๆ ไม่ใช่แค่ดูจากราคานะครับ แต่ดูจากงานที่คุณจะทำ และ อนาคตที่คุณอยากไปถึง นั่นต่างหากที่สำคัญ ลองประเมินดูครับว่า ตอนนี้เราทำแค่งานเหล็กทั่วไป? หรืออีกหน่อยจะลองเชื่อมอลูมิเนียม? ถ้าเริ่มต้นจากรุ่นกลางที่มีความสามารถรองรับไว้ก่อน ก็อาจจะจ่ายมากขึ้นนิดหน่อย แต่สบายใจกว่าเยอะ!

บทความนี้ขอแค่ให้คุณเข้าใจพื้นฐานทั้งหมดเกี่ยวกับ ตู้เชื่อม TIG ไม่ต้องเป็นช่าง ไม่ต้องเป็นวิศวกร ก็เลือกเครื่องได้ อ่านจบแล้วพร้อมเดินเข้าร้าน หรือกดออนไลน์แบบมั่นใจแน่นอน!