Customers Also Purchased
หมวกนิรภัย หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า "หมวกเซฟตี้" เป็นอุปกรณ์ป้องกันส่วนศีรษะจากแรงกระแทก วัตถุตกจากที่สูง การกระแทกด้านข้าง หรือแม้แต่การสัมผัสกับกระแสไฟฟ้าในบางกรณี หมวกนิรภัย จึงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในทุกอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นงานก่อสร้าง งานไฟฟ้า งานโรงงาน หรือแม้แต่งานตรวจสอบและบำรุงรักษา เพราะอุบัติเหตุที่กระทบศีรษะนั้นอาจรุนแรงถึงชีวิต หรือทำให้เกิดความพิการถาวรได้ แต่รู้หรือไม่? แม้ว่า หมวกนิรภัย จะดูไม่เสียหายภายนอก แต่ถ้าใช้เกินอายุการใช้งาน ก็อาจไม่สามารถป้องกันคุณได้เหมือนเดิม และอันตรายจากการใช้หมวกที่หมดอายุนั้นรุนแรงกว่าที่คุณคิด
อายุการใช้งานของ หมวกนิรภัย โดยทั่วไปแล้วอยู่ได้นานแค่ไหน?
อายุการใช้งานตามคำแนะนำจากผู้ผลิต
โดยทั่วไปแล้ว หมวกนิรภัย จะมีอายุการใช้งานอยู่ที่ 3-5 ปี นับจากวันที่ผลิต (ไม่ใช่วันที่เริ่มใช้งาน) ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้ในการผลิต และสภาพแวดล้อมที่หมวกถูกใช้งาน เช่น หากหมวกถูกใช้งานกลางแจ้งตลอดเวลา โดนแดดและฝนสม่ำเสมอ อาจมีอายุการใช้งานสั้นลงเหลือเพียง 2-3 ปี ในขณะที่หมวกที่ใช้งานภายในอาคารหรือในสภาพแวดล้อมที่ควบคุมได้ดี อาจใช้งานได้ใกล้เคียงหรือถึงขีดสูงสุดของอายุที่แนะนำ นอกจากนี้ หมวกที่ได้รับแรงกระแทกแม้เพียงครั้งเดียว ก็ควรพิจารณาเปลี่ยนทันที แม้จะยังไม่หมดอายุตามกำหนด
อายุของ หมวกนิรภัย ตามมาตรฐานความปลอดภัย
- ANSI Z89.1 (สหรัฐฯ): ไม่ได้ระบุอายุการใช้งานไว้ชัดเจนในเชิงตัวเลขปี แต่มีข้อกำหนดให้ผู้ใช้งานตรวจสอบ หมวกนิรภัย อย่างสม่ำเสมอ และเปลี่ยนทันทีเมื่อพบว่าหมวกเกิดความเสียหาย เสื่อมสภาพ หรือผ่านการกระแทกอย่างรุนแรง รวมถึงแนะนำให้ตรวจเช็กสายรัดภายในหมวก (suspension) อย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง หรือเปลี่ยนใหม่ทุก 12 เดือนหากใช้งานเป็นประจำ เพื่อคงประสิทธิภาพการป้องกันของหมวกให้ได้มาตรฐาน
- EN 397 (ยุโรป): แนะนำให้เปลี่ยน หมวกนิรภัย ภายใน 5 ปีนับจากวันผลิต แม้หมวกจะไม่มีรอยเสียหายภายนอกก็ตาม มาตรฐานนี้ยังเน้นให้หมวกต้องผ่านการทดสอบความแข็งแรง ทนทานต่อแรงกระแทก การเจาะทะลุ และความสามารถในการป้องกันไฟฟ้าสถิตในบางรุ่น รวมถึงการทดสอบความทนต่อความเย็น (down to -10°C หรือ -20°C) และความร้อน (up to +50°C) ดังนั้นการใช้งานนอกช่วงอุณหภูมิที่เหมาะสม หรือการสัมผัสสารเคมีอย่างต่อเนื่อง ก็อาจทำให้หมวกเสื่อมก่อนถึงอายุที่กำหนด
- มาตรฐาน มอก. ของไทย: สอดคล้องกับแนวปฏิบัติสากล โดยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กำหนดให้ หมวกนิรภัย ต้องผ่านการทดสอบคุณสมบัติต่าง ๆ เช่น ความทนต่อแรงกระแทก ความต้านทานไฟฟ้า และการซึมผ่านของน้ำ โดยแนะนำให้เปลี่ยน หมวกนิรภัย ภายใน 3–5 ปี นับจากวันผลิต ทั้งนี้ควรเปลี่ยนทันทีหากตรวจพบความเสียหายหรือเสื่อมสภาพ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าหมวกยังคงปกป้องผู้ใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ปัจจัยที่ส่งผลต่ออายุการใช้งานของ หมวกนิรภัย
วัสดุของ หมวกนิรภัย
หมวกนิรภัย มักผลิตจากวัสดุอย่าง ABS (Acrylonitrile Butadiene Styrene) หรือ HDPE (High-Density Polyethylene) ซึ่งวัสดุทั้งสองนี้มีความทนทาน มีคุณสมบัติเหนียวและสามารถดูดซับแรงกระแทกได้ดี อย่างไรก็ตาม วัสดุเหล่านี้จะค่อย ๆ เสื่อมสภาพลงเมื่อได้รับแสงแดดหรือรังสี UV อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริเวณที่มีอุณหภูมิสูง ความร้อนสามารถทำให้พลาสติกกรอบ แตกง่าย หรือเปลี่ยนสี ในขณะที่สารเคมี เช่น น้ำมัน สารทำละลาย หรือกรดบางชนิด ก็สามารถเร่งให้โครงสร้างวัสดุอ่อนแอลงเร็วขึ้น ผลลัพธ์คือหมวกที่ดูเหมือนใหม่ภายนอก อาจไม่สามารถปกป้องผู้ใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเมื่อเกิดอุบัติเหตุ
สภาพแวดล้อมการใช้งาน
- การใช้งานกลางแดดจัดทุกวัน โดยเฉพาะในประเทศเขตร้อนอย่างประเทศไทย แสงแดดและรังสี UV จะเร่งการเสื่อมสภาพของพลาสติก ทำให้หมวกกรอบ แตกง่าย และหมดความสามารถในการปกป้องผู้ใช้ได้เร็วกว่าที่ควร
- โดนฝน ความชื้น หรือสารเคมีบ่อยครั้ง เช่น น้ำมันหล่อลื่น สารทำความสะอาด หรือไอเคมีในโรงงาน อาจซึมเข้าสู่เนื้อพลาสติก ทำให้คุณสมบัติเชิงกล (mechanical properties) เสื่อมลง ส่งผลให้หมวกเกิดรอยร้าวได้ง่ายเมื่อเกิดแรงกระแทก
- ถูกวางในที่อุณหภูมิสูง เช่น ในรถยนต์ที่จอดกลางแดด หรือห้องเก็บของที่ไม่มีการระบายอากาศ ความร้อนสะสมจะทำให้โครงสร้างโมเลกุลของพลาสติกเปลี่ยนแปลง ทำให้หมวกเสียรูปง่ายและเปราะแม้ยังไม่ถึงอายุการใช้งานที่กำหนด
การดูแลรักษา
หมวกที่มีการดูแลดี เช่น ทำความสะอาดบ่อย ไม่ทำตกหรือกระแทกแรง ๆ มักมีอายุใช้งานยาวกว่า นอกจากนี้การเก็บรักษาในที่แห้ง อุณหภูมิคงที่ และหลีกเลี่ยงการวางใกล้แหล่งความร้อนหรือแสงแดดโดยตรง จะช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของวัสดุได้ดี หากเป็นองค์กรขนาดใหญ่ ควรมีระบบบันทึกการใช้งานของหมวกแต่ละใบ และมอบหมายเจ้าหน้าที่ตรวจสอบอุปกรณ์ส่วนบุคคล (PPE) อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าหมวกยังพร้อมใช้งานอยู่ตลอดเวลา
ความถี่ในการใช้งาน
หากหมวกถูกใช้ทุกวันเทียบกับหมวกที่ใช้งานนาน ๆ ครั้ง อายุการใช้งานจริงก็จะต่างกัน แม้ผลิตในเวลาเดียวกัน เพราะหมวกที่ใช้งานบ่อยจะต้องรับแรงกระแทก การดึงสายรัด การสัมผัสกับเหงื่อ แสงแดด และฝุ่นละอองบ่อยกว่า ส่งผลให้วัสดุภายนอกและอุปกรณ์ภายในเสื่อมสภาพเร็วขึ้น อีกทั้งโอกาสเกิดความเสียหายจากการใช้งานประจำ เช่น การหล่น กระแทก หรือวางผิดที่ ย่อมมีมากกว่า ในทางกลับกัน หมวกที่เก็บไว้ในที่ปลอดภัยและนำมาใช้เฉพาะเวลาจำเป็นเท่านั้น จะมีแนวโน้มเสื่อมช้ากว่า
สัญญาณเตือนว่า หมวกนิรภัย ควรเปลี่ยน
หมวกมีรอยร้าว รอยขีดข่วนลึก
แม้จะเล็กน้อย แต่โครงสร้างที่เสียหายอาจส่งผลต่อความสามารถในการรับแรงกระแทกได้อย่างมาก เพราะจุดร้าวหรือรอยขีดข่วนลึกอาจเป็นจุดอ่อนที่ทำให้หมวกแตกกระจายได้ง่ายหากเกิดแรงปะทะ หมวกนิรภัย ทำหน้าที่ดูดซับแรงกระแทกและกระจายแรงนั้นออกไป หากโครงสร้างภายนอกหรือเนื้อวัสดุถูกทำลาย แม้เพียงจุดเล็ก ๆ ก็อาจทำให้แรงทั้งหมดพุ่งเข้าสู่จุดเดียว ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บที่ศีรษะอย่างรุนแรง
สีซีดหรือหมวกเปลี่ยนสี
เกิดจากการเสื่อมสภาพของวัสดุภายใต้แสง UV ซึ่งเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำให้โพลิเมอร์ในพลาสติกสลายตัว ส่งผลให้โครงสร้างของ หมวกนิรภัย เปราะ แตกง่าย และไม่สามารถรองรับแรงกระแทกได้เท่าเดิม สีที่ซีดหรือหมวกที่เปลี่ยนสีจึงถือเป็นสัญญาณเตือนชัดเจนว่าเนื้อวัสดุเริ่มหมดประสิทธิภาพ และควรพิจารณาเปลี่ยนทันที แม้หมวกจะยังดูใช้งานได้อยู่ก็ตาม
ซับในเสื่อม/แตก/หลุดง่าย
สายรัดศีรษะในหมวก (suspension system) ที่ไม่กระชับหรือชำรุด อาจทำให้หมวกไม่สามารถรองรับแรงกระแทกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งระบบรองรับนี้มีหน้าที่สำคัญในการกระจายแรงและลดแรงกระแทกที่ศีรษะโดยตรง หากสายรัดหลวม แตก เปื่อย หรือสูญเสียความยืดหยุ่น หมวกจะไม่ยึดติดกับศีรษะอย่างมั่นคง อาจเคลื่อนหลุดเมื่อเกิดอุบัติเหตุ หรือทำให้แรงกระแทกกระจุกตัวที่จุดเดียว ส่งผลให้ศีรษะได้รับความเสียหายมากขึ้น แม้ตัวหมวกภายนอกจะยังดูดีอยู่ก็ตาม
รู้สึกว่าเบากว่าปกติ
อาจเกิดจากการกรอบ เสื่อมของเนื้อวัสดุภายในที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งเป็นอาการที่พบบ่อยในหมวกที่ใช้งานมานานหรือสัมผัสกับความร้อนและแสงแดดเป็นเวลานาน วัสดุภายในจะสูญเสียความยืดหยุ่นและความสามารถในการดูดซับแรงกระแทกไปโดยไม่ปรากฏร่องรอยภายนอก เมื่อหยิบขึ้นมาจะรู้สึกว่าหมวกมีน้ำหนักเบากว่าปกติ และนั่นอาจหมายความว่าหมวกได้สูญเสียคุณสมบัติป้องกันหลักไปแล้วโดยสิ้นเชิง
เกินอายุจากวันผลิต
หากดูใต้ปีกหมวกหรือภายในมักจะมี วันที่ผลิต (Date Code) ระบุไว้ โดยมากจะอยู่ในรูปแบบวงกลมหรือสัญลักษณ์ตัวเลขที่บอกเดือนและปีผลิต ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่ช่วยให้ผู้ใช้งานทราบถึงอายุของหมวกอย่างแม่นยำ หากหมวกมีอายุเกิน 3-5 ปี ควรเปลี่ยนทันที แม้ภายนอกจะดูไม่เสีย เพราะโครงสร้างภายในอาจเสื่อมโดยไม่สามารถตรวจสอบด้วยตาเปล่าได้ การอ้างอิงวันผลิตจึงเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดในการประเมินอายุการใช้งาน
อันตรายจากการใช้ หมวกนิรภัย เกินอายุ
หมวกที่เสื่อมสภาพไม่สามารถรับแรงกระแทกได้
เมื่อตัวหมวกกรอบหรือเปราะ แม้แต่แรงกระแทกที่ไม่รุนแรง เช่น การโดนวัตถุตกใส่จากที่ไม่สูงมาก หรือการกระแทกจากการเดินชน ก็สามารถทำให้หมวกแตกหรือเสียรูปได้ทันที ซึ่งหมายความว่าหมวกจะไม่สามารถดูดซับแรงกระแทกหรือกระจายแรงได้อีกต่อไป ส่งผลให้ศีรษะของผู้สวมใส่ไม่มีการป้องกันใด ๆ และเสี่ยงต่อการบาดเจ็บที่รุนแรง เช่น กะโหลกร้าว หรือสมองกระทบกระเทือนแม้ในอุบัติเหตุที่ดูไม่ร้ายแรง
การเกิดไฟฟ้ารั่วหรือลัดวงจร
หมวกที่เสื่อมอาจไม่มีฉนวนป้องกันไฟฟ้าหลงเหลืออยู่แล้ว เนื่องจากคุณสมบัติในการต้านทานกระแสไฟฟ้าของวัสดุพลาสติกจะลดลงเมื่อเสื่อมสภาพ โดยเฉพาะหมวกที่ใช้ในงานไฟฟ้า เช่น การทำงานใกล้สายไฟแรงสูง ตู้ควบคุมไฟ หรือสถานีแปลงไฟ หากหมวกสูญเสียความสามารถในการเป็นฉนวน อาจทำให้เกิดกระแสไฟฟ้ารั่วผ่านวัสดุหรือเกิดการลัดวงจรระหว่างศีรษะกับอุปกรณ์ไฟฟ้าที่สัมผัส ส่งผลให้ผู้สวมใส่เสี่ยงต่อไฟดูดหรือไฟช็อตโดยไม่รู้ตัว ซึ่งอาจนำไปสู่อันตรายถึงชีวิตได้
ความมั่นใจในความปลอดภัยลดลง
พนักงานหรือช่างอาจคิดว่าตนเอง "ปลอดภัย" ขณะใส่หมวก เพราะภายนอกหมวกดูไม่เสียหาย แต่จริง ๆ แล้วหมวกอาจหมดอายุการใช้งานไปแล้ว ทำให้ไม่สามารถป้องกันแรงกระแทกหรืออุบัติเหตุได้เหมือนเดิม ความรู้สึกปลอดภัยจอมปลอมนี้อาจทำให้ผู้ใช้งานประมาท ไม่สังเกตอาการเสื่อมสภาพของหมวก และนั่นอาจนำไปสู่เหตุการณ์ไม่คาดฝันที่สร้างความเสียหายทั้งต่อชีวิตและองค์กร