เครื่องดูดฝุ่น แรงดูดตก ดูดไม่สะอาดเหมือนเดิม? 7 สาเหตุที่ควรรู้ พร้อมวิธีแก้ไขด้วยตัวเอง

Customers Also Purchased

คุณเคยรู้สึกไหมว่า เครื่องดูดฝุ่น ที่เคยดูดแรงสุดพลัง วันหนึ่งกลับดูดฝุ่นไม่เข้าซะอย่างนั้น? แถมยังต้องดูดซ้ำหลายรอบ พื้นก็ยังไม่สะอาดเหมือนเดิม ปัญหา "แรงดูดของเครื่องดูดฝุ่นลดลง" เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้บ่อย และหากปล่อยไว้นาน ๆ ก็อาจทำให้เครื่องพังไว หรือดูดฝุ่นไม่สะอาดจนกลายเป็นบ่อเกิดของฝุ่นสะสมในบ้านโดยไม่รู้ตัว บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกถึง 7 สาเหตุหลักที่ทำให้เครื่องดูดฝุ่นดูดไม่แรงเหมือนเดิม พร้อมวิธีเช็กและแก้ไขแบบเข้าใจง่ายที่คุณสามารถทำได้เองที่บ้าน อย่าปล่อยให้เครื่องดูดฝุ่นทำงานหนักเกินความสามารถ มาเริ่มกันเลย!

แรงดูดของเครื่องดูดฝุ่นสำคัญอย่างไร?

เครื่องดูดฝุ่นทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นรุ่นมีสายหรือไร้สาย ล้วนทำงานโดยใช้มอเตอร์ดูดอากาศผ่านทางท่อหรือหัวดูด เพื่อดูดเอาฝุ่นละออง เศษขยะ หรือสิ่งสกปรกเข้าสู่ถุงหรือกล่องเก็บฝุ่น การมี "แรงดูดที่ดี" จึงเป็นหัวใจสำคัญของการใช้งาน หากแรงดูดตก เครื่องจะดูดไม่เข้า เก็บฝุ่นไม่หมด หรือเสียเวลาทำความสะอาดมากขึ้นหลายเท่าตัว

อาการแรงดูดลดอาจเกิดจากหลายปัจจัย ทั้งการใช้งานผิดวิธี การดูแลรักษาไม่ดี หรืออุปกรณ์บางชิ้นเริ่มเสื่อมสภาพ ซึ่งสามารถสังเกตได้ง่าย ๆ เช่น:

  • ดูดฝุ่นแล้วต้องวนซ้ำหลายรอบ
  • ได้ยินเสียงมอเตอร์เปลี่ยนไป หรือเบาลง
  • ฝุ่นเข้าไปค้างตรงปากท่อ ไม่ไหลเข้าสู่กล่อง
  • เปิดใช้งานนานขึ้นแต่พื้นที่ยังสกปรก

7 สาเหตุหลักที่ทำให้เครื่องดูดฝุ่นแรงดูดตก

1. ถุงเก็บฝุ่นหรือกล่องฝุ่นเต็ม

เมื่อฝุ่นสะสมจนเต็ม ความสามารถในการถ่ายเทอากาศจะลดลงทันที เพราะอากาศหมุนเวียนภายในเครื่องไม่ได้ ส่งผลให้แรงดูดลดลงแบบเห็นได้ชัด บางครั้งกล่องฝุ่นอาจดูเหมือนยังไม่เต็ม แต่เศษฝุ่น เส้นผม หรือฝุ่นที่จับตัวกันเป็นก้อนอาจกดทับจุดรับลมหรือเซ็นเซอร์ภายในได้เช่นกัน ซึ่งจะทำให้ระบบควบคุมประสิทธิภาพเข้าใจผิดว่าเครื่องกำลังเต็มหรือมีสิ่งผิดปกติ จึงลดแรงดูดลงเพื่อป้องกันความเสียหาย
นอกจากนี้ ในเครื่องดูดฝุ่นบางรุ่นที่มีระบบตรวจวัดฝุ่นแบบอัตโนมัติ หากฝุ่นภายในกล่องอัดแน่นมากเกินไป อาจส่งผลต่อการทำงานของเซ็นเซอร์ ทำให้ระบบลดพลังงานลงโดยอัตโนมัติ หรือแสดงสัญญาณเตือนผิดพลาด เช่น ไฟกระพริบ หรือเสียงแจ้งเตือนเป็นระยะ

วิธีแก้

  • ควรถอดกล่องหรือถุงฝุ่นออกมาดูเป็นประจำทุก 2-3 วัน หากใช้งานบ่อย
  • หากใช้ทุกวัน ควรล้างกล่องฝุ่นอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งด้วยน้ำสะอาดและปล่อยให้แห้ง 100% ก่อนนำกลับมาใช้ใหม่
  • หมั่นตรวจสอบช่องทางลมเข้าในกล่องหรือถุงฝุ่น ว่ามีฝุ่นไปอุดอยู่หรือไม่ และเช็ดบริเวณเซ็นเซอร์ภายในด้วยผ้าแห้งนุ่ม ๆ เพื่อไม่ให้มีสิ่งสกปรกเกาะ

เครื่องดูดฝุ่น แรงดูดตก ดูดไม่สะอาดเหมือนเดิม 7 สาเหตุที่ควรรู้ พร้อมวิธีแก้ไขด้วยตัวเอง

2. ไส้กรองอุดตันหรือสกปรก

ไส้กรองทำหน้าที่เป็นด่านแรกในการกรองฝุ่นละอองก่อนเข้าสู่มอเตอร์ ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้ฝุ่นหรือสิ่งสกปรกไปทำลายชิ้นส่วนภายในของเครื่อง เมื่อไส้กรองเริ่มอุดตัน จะส่งผลให้ปริมาณอากาศที่ไหลผ่านลดลงโดยตรง ทำให้แรงดูดตกลงชัดเจน
โดยเฉพาะในรุ่นที่ใช้ HEPA Filter ซึ่งมีโครงสร้างละเอียดมาก เหมาะกับการดักจับฝุ่นขนาดเล็กหรือสารก่อภูมิแพ้ต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม ความละเอียดของแผ่นกรองก็ทำให้มันอุดตันได้ง่ายหากไม่ได้รับการดูแล
นอกจากนี้ หากปล่อยให้ไส้กรองสกปรกจนฝุ่นเกาะแน่นเป็นชั้น อาจเกิดแรงดันย้อนกลับที่ทำให้มอเตอร์ร้อนเร็ว และเสี่ยงต่อการไหม้หรือเสื่อมเร็วเกินกำหนด อีกทั้งยังอาจเป็นแหล่งสะสมของเชื้อรา แบคทีเรีย หรือกลิ่นอับที่ไม่พึงประสงค์

วิธีแก้

  • ถอดไส้กรองมาตรวจเช็กทุก 1–2 สัปดาห์ หากใช้งานบ่อย
  • ใช้แปรงเล็กปัดฝุ่นออกเบา ๆ หรือเป่าลมด้วยความแรงต่ำ ระวังอย่าให้ไส้กรองเสียรูป
  • หากเป็นรุ่นล้างน้ำได้ ให้ล้างด้วยน้ำอุณหภูมิปกติ ห้ามใช้แปรงขัดแรง และควรตากในที่ร่มให้แห้งสนิทก่อนประกอบกลับเข้าไป
  • สำหรับไส้กรองที่ไม่สามารถล้างได้ เช่น HEPA แบบใช้ครั้งเดียว ให้เปลี่ยนตามรอบที่ผู้ผลิตแนะนำ หรือหากเห็นว่าเปลี่ยนสีผิดปกติหรือมีกลิ่นอับ

3. ท่อดูดหรือหัวดูดมีสิ่งอุดตัน

เศษกระดาษชิ้นเล็ก เส้นผม หรือฝุ่นที่เกาะตัวกันแน่น อาจกลายเป็นก้อนอุดทางเดินลมจนทำให้แรงดูดหายไปครึ่งหนึ่งโดยไม่รู้ตัว สิ่งเหล่านี้มักจะเข้าไปสะสมในจุดที่มองไม่เห็น เช่น ในซอกท่อ ข้อพับ หรือภายในหัวดูด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากใช้เครื่องดูดฝุ่นกับพรม ผ้าม่าน หรือพื้นผิวที่มีขนเส้นยาว จะยิ่งมีโอกาสที่เส้นใยและฝุ่นจะพันติดมากขึ้น
ยิ่งถ้าหัวดูดมีแปรงหมุนร่วมด้วย (motorized brush) ฝุ่นหรือผมที่พันอยู่รอบแกนแปรงจะทำให้แปรงหมุนช้าลงหรือหยุดหมุนไปเลย ส่งผลให้แรงดูดไม่สามารถส่งถึงพื้นผิวได้เต็มที่ และอาจทำให้มอเตอร์ของหัวดูดร้อนจนเสียหายได้ในระยะยาว นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดเสียงผิดปกติ หรือเครื่องสั่นสะเทือนขณะทำงาน

วิธีแก้

  • แนะนำให้ถอดหัวดูดมาทำความสะอาดทุกสัปดาห์ โดยเฉพาะถ้าใช้กับพรมหรือพื้นที่มีเศษฝุ่นเยอะ
  • ใช้ตะขอเล็กหรือลวดเกี่ยวเส้นผมที่พันหัวแปรงออกอย่างระมัดระวัง และตรวจสอบว่าไม่มีฝุ่นติดอยู่ในช่องทางลม
  • หากหัวดูดสามารถถอดแปรงหมุนได้ ให้ถอดออกมาเช็ดและล้างเบา ๆ แล้วประกอบกลับ
  • พิจารณาใช้หัวดูดที่ไม่มีแปรงหมุนสำหรับงานดูดทั่วไป เพื่อลดการพันของเส้นผมและขยะ

4. ข้อต่อหลวม หรืออากาศรั่วจากซีล

เมื่อเกิดการรั่วซึม แม้เพียงเล็กน้อย ก็สามารถทำให้แรงดูดตกลงอย่างมาก เพราะแรงลมจะหายไประหว่างทางก่อนถึงหัวดูด ความดันอากาศที่ไม่คงที่ทำให้ฝุ่นและเศษขยะไม่สามารถถูกดูดเข้าสู่กล่องเก็บฝุ่นได้เต็มที่ นอกจากนี้ อากาศที่รั่วอาจทำให้เครื่องดูดฝุ่นต้องทำงานหนักมากขึ้นเพื่อชดเชยแรงที่สูญเสียไป ส่งผลให้มอเตอร์ร้อนจัดหรืออายุการใช้งานสั้นลง
อาการนี้มักพบในเครื่องที่มีอายุการใช้งานนาน หรือรุ่นที่ถอด-ประกอบใช้งานบ่อย เช่น เครื่องดูดฝุ่นแบบแยกชิ้นส่วน ที่ต้องต่อสายดูดกับหัวดูดหรือเครื่องหลักทุกครั้งก่อนใช้ หากชิ้นส่วนเหล่านี้ไม่ได้ประกบแน่น หรือมีการสึกหรอของขอบยางและซีลกันอากาศ ก็จะเกิดช่องว่างที่ทำให้อากาศภายนอกไหลเข้าได้

วิธีแก้

  • ตรวจสอบทุกจุดต่อระหว่างเครื่อง ท่อ และหัวดูด ว่ายึดแน่นดีหรือไม่ โดยเฉพาะบริเวณจุดหมุนหรือจุดล็อก
  • ฟังเสียงขณะใช้งาน หากมีเสียงลมรั่วผิดปกติ หรือแรงดูดลดทันทีเมื่อต่อสาย ควรหยุดใช้งานเพื่อตรวจสอบทันที
  • หากพบยางซีลฉีกขาดหรือหลุด ให้เปลี่ยนใหม่ทันที ราคาถูกแต่มีผลต่อประสิทธิภาพแรงดูดอย่างมาก
  • สามารถใช้น้ำสบู่ทารอบรอยต่อแล้วเปิดเครื่องดูดฝุ่นเบา ๆ เพื่อตรวจหาจุดรั่ว หากมีฟองเกิดขึ้น แสดงว่าจุดนั้นมีการรั่วซึม

เครื่องดูดฝุ่น แรงดูดตก ดูดไม่สะอาดเหมือนเดิม 7 สาเหตุที่ควรรู้ พร้อมวิธีแก้ไขด้วยตัวเอง

5. มอเตอร์เริ่มเสื่อม หรือแปรงถ่านหมด

มอเตอร์เป็นหัวใจสำคัญในการสร้างแรงดูดของเครื่องดูดฝุ่น ซึ่งอาศัยการหมุนด้วยความเร็วสูงเพื่อสร้างแรงลมและสุญญากาศ เมื่อใช้งานไปนาน ๆ ส่วนที่สึกหรอได้เร็วที่สุดคือ "แปรงถ่าน" ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวนำกระแสไฟฟ้าจากสายไฟเข้าสู่ขดลวดของมอเตอร์ โดยจะถูอยู่กับคอมมิวเตเตอร์ตลอดเวลา หากแปรงถ่านสึกจนสั้นเกินไปหรือหมดไปเลย จะทำให้การส่งกระแสไฟไม่สม่ำเสมอ หรือหยุดการทำงานของมอเตอร์โดยสมบูรณ์
นอกจากแปรงถ่านแล้ว มอเตอร์ที่เสื่อมสภาพเองก็เป็นอีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้แรงดูดตกลง โดยจะเริ่มจากอาการเล็ก ๆ เช่น เสียงมอเตอร์เปลี่ยน เบา
ลง หรือสั่นผิดปกติ บางครั้งอาจมีอาการสะดุดหรือเงียบไปช่วงสั้น ๆ ขณะใช้งาน หรือเกิดกลิ่นไหม้อ่อน ๆ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าความร้อนสะสมภายในเริ่มสูงผิดปกติ

วิธีสังเกต

  • หากเปิดเครื่องแล้วไม่ติด หรือติดแต่เสียงเบากว่าปกติ ให้สงสัยว่าแปรงถ่านอาจหมด
  • หากเครื่องมีเสียงดังขึ้นผิดปกติหรือเกิดกลิ่นร้อน กลิ่นไหม้ ควรหยุดใช้งานทันที

วิธีแก้

  • สำหรับผู้มีพื้นฐานช่าง สามารถถอดเปลี่ยนแปรงถ่านได้เอง โดยแปรงถ่านสามารถหาซื้อได้ทั่วไปในราคาหลักสิบถึงหลักร้อยบาท ขึ้นอยู่กับรุ่น
  • หากมอเตอร์เริ่มมีรอยไหม้หรือเสียงฝืด อาจต้องเปลี่ยนชุดมอเตอร์ใหม่ หรือส่งศูนย์บริการตรวจสอบและเปลี่ยนอะไหล่อย่างเหมาะสม
  • การเปลี่ยนแปรงถ่านและตรวจมอเตอร์เป็นหนึ่งในวิธีประหยัดที่ช่วยยืดอายุเครื่องดูดฝุ่นได้อีกหลายปี

6. แบตเตอรี่เสื่อม (สำหรับรุ่นไร้สาย)

พลังงานไฟฟ้าคือแหล่งกำลังของมอเตอร์ ถ้าแบตเตอรี่เริ่มเสื่อมจะทำให้จ่ายไฟไม่เต็มที่ ส่งผลให้มอเตอร์หมุนช้าลงและแรงดูดตกตามลำดับ โดยเฉพาะเครื่องดูดฝุ่นไร้สายซึ่งต้องพึ่งพาแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนหรือแบตเตอรี่แบบชาร์จซ้ำได้เป็นหลัก หากแบตเตอรี่เสื่อมหรือความจุลดลง มอเตอร์จะทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ และอาจตัดไฟเองก่อนถึงเวลาที่ควรใช้งานจริง

อาการที่พบบ่อยเมื่อแบตเตอรี่เริ่มเสื่อม ได้แก่

  • ชาร์จเต็มเร็วผิดปกติ แต่ใช้งานได้เพียงไม่กี่นาที
  • ขณะใช้งานแรงดูดลดลงเรื่อย ๆ จนหมดแรงเร็ว
  • แบตเตอรี่ร้อนเร็ว หรือมีอาการบวม (ควรหยุดใช้งานทันที)
  • เครื่องตัดการทำงานโดยอัตโนมัติแม้แบตยังมีไฟ

การใช้งานที่ไม่เหมาะสม เช่น การชาร์จค้างไว้ข้ามคืน หรือเก็บเครื่องในที่ร้อนจัด ก็มีส่วนทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วขึ้น

วิธีแก้

  • ทดสอบโดยชาร์จแบตให้เต็ม 100% แล้วจับเวลาใช้งาน หากใช้งานได้ไม่ถึง 50–70% ของเวลาปกติ ให้พิจารณาเปลี่ยน
  • ใช้แบตเตอรี่แท้จากผู้ผลิตเสมอ เพื่อให้ได้แรงดันไฟฟ้าและความจุที่เหมาะสม
  • หลีกเลี่ยงการใช้งานจนแบตหมดเกลี้ยงทุกครั้ง ควรชาร์จเมื่อแบตเหลือประมาณ 20–30%
  • หากมีแบตสำรอง ควรหมุนเวียนการใช้งาน เพื่อยืดอายุของแบตแต่ละก้อน

7. ใช้งานผิดโหมด (ในรุ่นปรับแรงดูดได้)

เครื่องดูดฝุ่นรุ่นใหม่ ๆ หลายรุ่นมาพร้อมกับฟังก์ชันปรับระดับแรงดูดได้หลายโหมด เช่น Eco (ประหยัดพลังงาน), Normal (มาตรฐาน) และ Max (แรงดูดสูงสุด) ซึ่งออกแบบมาให้เหมาะกับการใช้งานในสถานการณ์ที่แตกต่างกัน เช่น โหมด Eco เหมาะสำหรับพื้นผิวเรียบที่มีฝุ่นเล็กน้อย ส่วนโหมด Max เหมาะกับพรมหนา หรือพื้นที่ที่มีสิ่งสกปรกฝังแน่น
อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้งานจำนวนมากมักไม่ทราบว่าเครื่องอยู่ในโหมดใดในขณะใช้งาน โดยเฉพาะรุ่นที่ไม่มีหน้าจอแสดงผล หรือปุ่มควบคุมอยู่ในตำแหน่งที่กดโดนได้ง่าย อาจทำให้เปลี่ยนโหมดโดยไม่รู้ตัว เช่น เผลอกดตอนถือเครื่อง หรือเด็กในบ้านไปกดเล่น
ผลลัพธ์คือแรงดูดที่ได้ไม่สอดคล้องกับความต้องการ เช่น ต้องการดูดพรมแต่เครื่องอยู่ในโหมด Eco จึงดูดไม่เข้า หรือใช้งานโหมด Max ตลอดเวลาโดยไม่จำเป็น ส่งผลให้แบตหมดเร็ว หรือมอเตอร์ร้อนเกิน

วิธีแก้

  • ตรวจสอบตำแหน่งปุ่มโหมดทุกครั้งก่อนใช้งาน โดยเฉพาะก่อนเริ่มดูดพรมหรือพื้นผิวที่มีฝุ่นเยอะ
  • อ่านคู่มือเพื่อเข้าใจความหมายของแต่ละโหมด และเลือกให้เหมาะกับประเภทงาน เช่น:

       - Eco: สำหรับฝุ่นเบา พื้นเรียบ ใช้งานประจำวัน
       - Normal: สำหรับพื้นทั่วไปที่มีฝุ่นปานกลาง
       - Max: ใช้กับพรม, ขนสัตว์ หรือบริเวณที่สกปรกมาก

  • หากมีระบบจดจำโหมดการใช้งานครั้งก่อน ควรรีเซ็ตหรือตรวจสอบทุกครั้งก่อนใช้งาน
  • สำหรับบ้านที่มีเด็กเล็ก แนะนำให้ล็อกปุ่มควบคุม (หากรุ่นนั้นรองรับ) เพื่อป้องกันการเปลี่ยนโหมดโดยไม่ตั้งใจ

วิธีดูแลรักษาเครื่องดูดฝุ่นให้แรงดูดดีอยู่เสมอ

เครื่องดูดฝุ่นที่ดี ควรดูแลสม่ำเสมอ เพื่อให้แรงดูดคงที่ และไม่เสียหายก่อนเวลาอันควร การดูแลเครื่องดูดฝุ่นไม่ได้ซับซ้อนหรือยุ่งยากอย่างที่หลายคนคิด เพียงแค่ทำตามแนวทางต่อไปนี้อย่างสม่ำเสมอ ก็สามารถยืดอายุการใช้งานและคงประสิทธิภาพของเครื่องได้อย่างดี

ทำความสะอาดหลังใช้งานทุกครั้ง

  • เทกล่องฝุ่นหรือถอดถุงฝุ่นออกทันทีหลังใช้งานทุกครั้ง อย่าปล่อยให้ฝุ่นสะสมข้ามวัน เพราะอาจกดทับระบบเซ็นเซอร์และช่องระบายอากาศ
  • เช็ดหัวดูด ท่อ และแปรงให้สะอาด โดยเฉพาะในบริเวณที่มีเศษผมหรือฝุ่นจับตัวกันแน่น ซึ่งอาจทำให้แรงดูดตกในครั้งถัดไป
  • หากมีหัวแปรงแบบหมุน ควรตรวจสอบว่าไม่มีเส้นผมหรือขยะพันแกนแปรงอยู่

ล้างกรองอากาศตามรอบ

  • รุ่นที่ล้างได้ ให้ล้างด้วยน้ำสะอาด (ควรใช้เพียงมือเปล่าหรือแปรงอ่อน) และผึ่งให้แห้งสนิท 100% ก่อนนำกลับมาใช้งาน
  • ห้ามล้าง HEPA Filter ที่เป็นแบบใช้ครั้งเดียว เพราะอาจทำให้ประสิทธิภาพการกรองลดลง
  • แนะนำให้เปลี่ยนไส้กรองตามรอบที่ผู้ผลิตกำหนด เช่น ทุก 3-6 เดือน เพื่อให้แน่ใจว่าอากาศถ่ายเทได้ดี

เครื่องดูดฝุ่น แรงดูดตก ดูดไม่สะอาดเหมือนเดิม 7 สาเหตุที่ควรรู้ พร้อมวิธีแก้ไขด้วยตัวเอง

ไม่ใช้งานต่อเนื่องเกินกำลัง

  • หากต้องดูดฝุ่นในพื้นที่ขนาดใหญ่ ควรแบ่งเป็นช่วง ๆ และพักเครื่องทุก 15–20 นาที เพื่อให้มอเตอร์ไม่ร้อนเกินไป
  • หลีกเลี่ยงการใช้งานกับของเหลว หรือสิ่งเปียกชื้น หากไม่ใช่รุ่นที่รองรับการดูดน้ำโดยเฉพาะ เพราะอาจทำให้มอเตอร์หรือแผงวงจรเสียหาย

เก็บเครื่องให้พ้นแสงแดดหรือที่ชื้น

  • ควรเก็บเครื่องไว้ในที่แห้ง อากาศถ่ายเทได้ดี และไม่โดนแสงแดดโดยตรง เพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพของซีลยาง พลาสติก และวงจรภายใน
  • อย่าเก็บเครื่องดูดฝุ่นไว้ในพื้นที่ที่มีความชื้นสูง เช่น ห้องน้ำ หรือใต้ซิงค์ล้างจาน เพราะความชื้นสามารถซึมเข้าไปในระบบและทำให้เกิดสนิมหรือไฟรั่วได้

การบำรุงรักษาเครื่องดูดฝุ่นให้เหมือนใหม่อยู่เสมอไม่เพียงช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการซ่อมหรือซื้อเครื่องใหม่เท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อสุขภาพ เพราะช่วยให้การทำความสะอาดฝุ่นและสารก่อภูมิแพ้มีประสิทธิภาพสูงสุดทุกครั้งที่ใช้งาน

สรุป: เครื่องดูดฝุ่นแรงดูดเบา แก้ได้ถ้ารู้ต้นเหตุ

แรงดูดตกไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะมันส่งผลโดยตรงต่อความสะอาดและสุขภาพในบ้านคุณ หากคุณสังเกตว่าเครื่องดูดฝุ่นดูดไม่แรงเหมือนเดิม อย่ารอให้เสียหายหนัก ควรเริ่มตรวจสอบจากสิ่งง่าย ๆ อย่างกล่องฝุ่น ท่อดูด หรือไส้กรองก่อน แล้วจึงค่อยพิจารณาส่วนลึกอย่างมอเตอร์หรือแบตเตอรี่
เพียงแค่คุณใส่ใจตรวจเช็กและทำความสะอาดเป็นประจำ เครื่องดูดฝุ่นของคุณก็จะกลับมาทำงานได้เต็มประสิทธิภาพอีกครั้ง ไม่ต้องเสียเงินซื้อเครื่องใหม่ก่อนเวลาอันควร และบ้านของคุณก็จะสะอาด น่าอยู่เหมือนเดิมแน่นอน!

เลือกซื้อ เครื่องดูดฝุ่น เพิ่มเติม