7 ข้อเข้าใจผิดเกี่ยวกับ รองเท้าเซฟตี้ ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้

Customers Also Purchased

รองเท้าเซฟตี้ หรือรองเท้านิรภัย คืออุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE: Personal Protective Equipment) ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บบริเวณเท้า ซึ่งอาจเกิดจากการโดนของแข็งตกใส่ การเหยียบของแหลมคม พื้นผิวลื่น หรือแม้แต่ไฟฟ้ารั่ว โดยเฉพาะในงานที่มีลักษณะเสี่ยงสูง เช่น งานก่อสร้าง งานผลิตในโรงงาน งานช่าง งานเหมืองแร่ หรืองานในพื้นที่อุตสาหกรรมหนักอื่น ๆ

แม้จะเป็นอุปกรณ์ที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลาย และมักอยู่ในรายชื่อของอุปกรณ์ความปลอดภัยที่จำเป็น แต่ในความเป็นจริงแล้ว กลับมีความเข้าใจผิดมากมายเกี่ยวกับรองเท้าเซฟตี้ ทั้งในแง่ของการใช้งาน โครงสร้าง มาตรฐานการผลิต ตลอดจนความจำเป็นในสถานการณ์ต่าง ๆ ความเข้าใจผิดเหล่านี้ อาจนำไปสู่การเลือกใช้ รองเท้าเซฟตี้ ไม่เหมาะสม ซึ่งอาจลดประสิทธิภาพในการป้องกัน หรือที่แย่กว่านั้น คือก่อให้เกิดอันตรายโดยไม่รู้ตัว

รองเท้าเซฟตี้ ทุกคู่เหมือนกันหมด

หลายคนคิดว่าแค่ซื้อ รองเท้าเซฟตี้ มาคู่หนึ่งก็สามารถใช้งานได้กับทุกลักษณะงาน แต่ในความเป็นจริงแล้ว รองเท้าเซฟตี้ มีการออกแบบให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมและลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยทั่วไปมาตรฐานยุโรป EN ISO 20345 แบ่ง รองเท้าเซฟตี้ ออกเป็นหลายระดับ โดยแต่ละระดับมีคุณสมบัติเฉพาะตัว 
  • S1: เหมาะสำหรับการใช้งานในพื้นที่แห้ง เช่น ภายในโรงงานทั่วไป มีคุณสมบัติพื้นกันลื่น หัวเหล็กป้องกันแรงกระแทก และแผ่นรองรับแรงกระแทกที่ส้นเท้า แต่ไม่กันน้ำ
  • S2: มีคุณสมบัติเหมือนกับ S1 แต่เพิ่มการกันซึมน้ำบริเวณส่วนบนของรองเท้า จึงเหมาะกับงานที่มีโอกาสสัมผัสน้ำหรือของเหลวเป็นครั้งคราว เช่น งานผลิตอาหาร หรืองานในโกดังสินค้า
  • S3: เป็น รองเท้าเซฟตี้ ที่เหมาะกับงานหนักหรือพื้นที่ภายนอก เช่น ไซต์งานก่อสร้าง เพราะนอกจากคุณสมบัติของ S2 แล้ว ยังมีแผ่นเสริมเหล็กป้องกันทะลุจากวัตถุแหลมด้านล่าง เช่น ตะปู หรือเศษโลหะ
นอกจากนี้ยังมีประเภทอื่น ๆ เช่น S1P ที่เหมาะกับงานในพื้นที่แห้งแต่ต้องการคุณสมบัติกันทะลุ และ S5 ที่ใช้กับงานที่มีน้ำมาก เช่น งานประปาหรืองานท่อระบายน้ำ
การเลือกใช้ รองเท้าเซฟตี้ ที่ไม่ตรงกับประเภทของงาน เช่น การใส่รองเท้า S1 ในไซต์ก่อสร้างที่มีเศษวัสดุแหลมคมหรือพื้นเปียก อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บและอุบัติเหตุได้อย่างมาก ดังนั้น การเข้าใจและเลือกใช้รองเท้าให้ตรงตามประเภทของงานจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก

7 ข้อเข้าใจผิดเกี่ยวกับ รองเท้าเซฟตี้ ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้

7 ข้อเข้าใจผิดเกี่ยวกับ รองเท้าเซฟตี้ ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้

หัวเหล็กใน รองเท้าเซฟตี้ อาจทำให้เท้าหักถ้าโดนของหนักตกใส่

บางคนเชื่อว่า ถ้าของหนักตกใส่หัวเหล็กของ รองเท้าเซฟตี้ หัวเหล็กจะพังหรือยุบตัว แล้วบีบรัดนิ้วเท้าจนกระดูกหัก ความเชื่อนี้สร้างความกลัวให้กับหลายคน โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งเริ่มใช้งาน รองเท้าเซฟตี้ เป็นครั้งแรก อย่างไรก็ตาม ความเข้าใจนี้ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงทางวิศวกรรมและการทดสอบความปลอดภัย

รองเท้าเซฟตี้ ที่ได้มาตรฐาน เช่น มาตรฐาน EN ISO 20345 ของยุโรป หรือ มอก. ของไทย จะต้องผ่านการทดสอบแรงกระแทกบริเวณหัวรองเท้าด้วยน้ำหนักและความเร็วที่กำหนด โดยมาตรฐาน EN ISO 20345 ระบุว่าหัวรองเท้าต้องสามารถรับแรงกระแทกได้ไม่น้อยกว่า 200 จูล ซึ่งเทียบเท่ากับวัตถุหนักกว่า 20 กิโลกรัมตกจากความสูงประมาณ 1 เมตร โดยที่โครงสร้างหัวเหล็กจะต้องไม่ยุบหรือแตกร้าวจนเป็นอันตรายต่อผู้สวมใส่

นอกจากนี้ ในกระบวนการผลิต รองเท้าเซฟตี้ ยังมีการเสริมวัสดุป้องกันแรงบีบ (Compression Resistance) ที่ระดับ 15,000 นิวตัน หรือเทียบเท่ารถยนต์ทับโดยไม่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บที่เท้า หากผลิตภัณฑ์นั้นได้มาตรฐานจริง หัวเหล็กจะไม่พังง่าย และกลับช่วยกระจายแรงกระแทกออกไปจากนิ้วเท้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ป้องกันการบาดเจ็บที่อาจรุนแรงกว่าหากใส่รองเท้าธรรมดาโดยไม่มีการป้องกันใด ๆ

รองเท้าเซฟตี้ คือรองเท้าหัวเหล็กเท่านั้น

แม้หัวเหล็กจะเป็นสัญลักษณ์ของ รองเท้าเซฟตี้ ในความเข้าใจของคนทั่วไป แต่ในความเป็นจริงแล้ว ปัจจุบันมีการพัฒนาและผลิต รองเท้าเซฟตี้ ที่ใช้วัสดุหัวรองเท้าหลายประเภท ไม่ได้จำกัดอยู่แค่หัวเหล็กเท่านั้น โดยเฉพาะ "หัวคอมโพสิต" (Composite Toe) ซึ่งทำจากวัสดุผสมอย่างพลาสติกชนิดพิเศษ ไฟเบอร์กลาส หรือคาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งมีคุณสมบัติเบา แข็งแรง ไม่เป็นสื่อนำไฟฟ้า และไม่ก่อให้เกิดประกายไฟ

หัวคอมโพสิตจึงเหมาะกับงานที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้า เช่น งานติดตั้งระบบไฟ งานอิเล็กทรอนิกส์ หรืองานในพื้นที่ที่มีข้อจำกัดด้านสนามแม่เหล็ก เช่น สนามบิน หรือโรงงานผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากนี้ยังเหมาะกับผู้ที่ต้องผ่านเครื่องตรวจจับโลหะบ่อยครั้ง เช่น เจ้าหน้าที่สนามบิน หรือคลังสินค้า
รองเท้าเซฟตี้ ยังมีคุณสมบัติอื่น ๆ ที่เสริมความปลอดภัยและความสะดวกสบาย เช่น:
  • พื้นกันทะลุ: ใช้วัสดุแผ่นเหล็กหรือแผ่นคอมโพสิตรองใต้ฝ่าเท้า ป้องกันวัตถุแหลมทิ่มทะลุ เช่น ตะปู
  • พื้นกันลื่น: ใช้ดอกยางพิเศษและวัสดุกันลื่น เพื่อเพิ่มการยึดเกาะพื้นผิวที่เปียกหรือลื่น
  • ทนสารเคมี: รองเท้าบางรุ่นผลิตจากวัสดุที่ไม่ทำปฏิกิริยากับสารเคมี เช่น น้ำมัน กรด หรือเบส เหมาะสำหรับงานในห้องแล็บ โรงงานเคมี หรือสถานีบริการน้ำมัน
  • กันน้ำมัน: พื้นรองเท้าไม่เสื่อมสภาพเมื่อสัมผัสน้ำมัน เหมาะสำหรับช่างยนต์ หรือโรงงานอุตสาหกรรมหนัก
นอกจากนี้ยังมี รองเท้าเซฟตี้ แบบหุ้มข้อ หรือแบบบูต สำหรับป้องกันข้อเท้าและหน้าแข้ง รวมถึงรุ่นที่มีระบบระบายอากาศ เพื่อเพิ่มความสบายในการสวมใส่ตลอดวันอีกด้วย

รองเท้าเซฟตี้ ใส่แล้วปวดเท้า ไม่สบายตัว

รองเท้าเซฟตี้ รุ่นเก่า ๆ อาจใส่แล้วอึดอัด หนัก ระบายอากาศไม่ดี หรือมีลักษณะแข็งกระด้าง ทำให้หลายคนเชื่อว่า รองเท้าเซฟตี้ ทั้งหมดนั้นใส่แล้วเมื่อยล้า และไม่เหมาะสำหรับการใส่ทำงานต่อเนื่องทั้งวัน โดยเฉพาะงานที่ต้องเดินหรือยืนนาน ๆ เช่น งานคลังสินค้า งานตรวจสอบในโรงงาน หรืองานก่อสร้างภาคสนาม
แต่ รองเท้าเซฟตี้ รุ่นใหม่ ๆ ในปัจจุบันได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านการออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ (Ergonomic Design) และการเลือกใช้วัสดุที่มีคุณสมบัติในการลดแรงกระแทกและรองรับน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ วัสดุยอดนิยม เช่น พื้น PU (Polyurethane) และ EVA (Ethylene Vinyl Acetate) ซึ่งมีความยืดหยุ่นดี น้ำหนักเบา และช่วยซับแรงสะเทือนได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีการเสริมแผ่นรองฝ่าเท้า (Insole) แบบนุ่มพิเศษ ซึ่งมีทั้งแบบถอดเปลี่ยนได้และแบบถาวร เพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะเท้าของแต่ละบุคคล
บางรุ่นยังมาพร้อมกับฟีเจอร์เพิ่มเติมที่ช่วยเพิ่มความสบายระหว่างใช้งาน 
  • Shock Absorption: ระบบลดแรงกระแทกที่บริเวณส้นเท้า ช่วยลดอาการปวดเมื่อยเมื่อต้องยืนหรือเดินนาน
  • Anti-Fatigue Technology: เทคโนโลยีพื้นรองเท้าที่ช่วยกระจายแรงกดอย่างสม่ำเสมอ ลดความล้าของกล้ามเนื้อขาและหลัง
  • Air Circulation System: ระบบระบายอากาศภายในรองเท้า ที่ช่วยให้เท้าไม่ร้อน ไม่อับชื้น ลดโอกาสเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์
นอกจากนี้ รองเท้าเซฟตี้ บางแบรนด์ยังมีการออกแบบให้มีทรงสวยงามทันสมัย ดูคล้ายรองเท้าผ้าใบหรือรองเท้ากีฬา ทำให้สามารถใส่ได้ทั้งในงานและชีวิตประจำวันได้อย่างมั่นใจ

7 ข้อเข้าใจผิดเกี่ยวกับ รองเท้าเซฟตี้ ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้

รองเท้าเซฟตี้ ไม่จำเป็นในงานเบา หรืองานออฟฟิศ

อุบัติเหตุสามารถเกิดได้ทุกพื้นที่ ไม่ใช่เฉพาะแค่ไซต์งานก่อสร้างหรือพื้นที่อุตสาหกรรมหนักเท่านั้น แม้แต่ในสำนักงาน หรือในส่วนของแผนกบริหารที่อยู่ใกล้พื้นที่ปฏิบัติงาน ก็ยังมีความเสี่ยงที่ไม่ควรมองข้าม เพราะเหตุการณ์ไม่คาดคิดสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาและในพื้นที่ที่ดูเหมือนไม่อันตราย

ตัวอย่างเช่น พนักงานที่ต้องเดินไปประสานงานหรือส่งเอกสารในพื้นที่โรงงาน แม้จะใช้เวลาเพียงไม่กี่นาที แต่ในช่วงเวลาสั้น ๆ นั้นอาจเผชิญกับ:
  • พื้นที่ลื่นจากคราบน้ำมันหรือของเหลวที่หกลงพื้น
  • เศษวัสดุก่อสร้าง เศษโลหะ หรือกล่องสินค้าหล่นลงมาโดยไม่ทันตั้งตัว
  • การเดินสะดุดกับสายไฟหรือเครื่องมือช่างที่วางเกะกะ
  • พื้นผิวขรุขระที่อาจทำให้ข้อเท้าพลิกหรือเกิดการบาดเจ็บเล็กน้อยแต่เรื้อรัง
  • การโดนวัตถุแหลมคมตำทะลุพื้นรองเท้าธรรมดา
ด้วยเหตุนี้ หลายองค์กรจึงมีนโยบายความปลอดภัยที่เคร่งครัด โดยกำหนดให้พนักงานทุกคนที่มีโอกาสเข้าสู่พื้นที่ปฏิบัติงาน ไม่ว่าจะเป็นชั่วคราวหรือประจำ ต้องสวม รองเท้าเซฟตี้ ทุกครั้ง เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด ซึ่งนอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บแล้ว ยังสะท้อนถึงวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นอันดับแรกอีกด้วย

รองเท้าเซฟตี้ ราคาแพงเกินไป ไม่คุ้มค่า

บางคนเลือกซื้อ รองเท้าเซฟตี้ ราคาถูก โดยมองเพียงแค่ราคาที่ประหยัดในระยะสั้น โดยไม่ใส่ใจในเรื่องของวัสดุที่ใช้ มาตรฐานการผลิต หรือการรับรองความปลอดภัยจากสถาบันที่เชื่อถือได้ รองเท้าประเภทนี้มักผลิตจากวัสดุคุณภาพต่ำ เช่น หนังเทียมหรือพลาสติกบาง พื้นรองเท้าไม่มีแผ่นเสริมกันทะลุ และไม่มีคุณสมบัติกันลื่นหรือกันไฟฟ้าสถิต ส่งผลให้รองเท้าสึกหรอเร็ว พื้นขาดง่าย หรือรองรับแรงกระแทกได้ไม่ดี ซึ่งนอกจากจะไม่ปลอดภัยแล้วยังต้องซื้อใหม่บ่อย ๆ ทำให้สิ้นเปลืองมากกว่าที่คิดในระยะยาวฃ

ในทางกลับกัน รองเท้าเซฟตี้ ที่มีคุณภาพแม้จะมีราคาสูงกว่า แต่ผลิตจากวัสดุที่มีความทนทานสูง เช่น หนังแท้ พื้น PU หรือยางไนไตรล์ และผ่านการรับรองจากมาตรฐานสากล เช่น EN ISO 20345, ASTM F2413 หรือ มอก. ซึ่งหมายความว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้ได้รับการทดสอบแรงกระแทก แรงบีบ พื้นกันทะลุ และคุณสมบัติกันลื่นแล้วเรียบร้อย จึงสามารถใช้งานได้ยาวนานหลายปี โดยไม่ต้องเปลี่ยนบ่อย ๆ

นอกจากนี้ การลงทุนใน รองเท้าเซฟตี้ ที่ได้มาตรฐานยังช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ เช่น เท้าโดนของตก กระดูกนิ้วหัก เท้าพลิก หรือลื่นล้ม ซึ่งอาจนำไปสู่ค่ารักษาพยาบาลสูง การหยุดงานขาดรายได้ หรือแม้แต่การถูกฟ้องร้องในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุในที่ทำงาน สำหรับเจ้าของกิจการ การจัดหา รองเท้าเซฟตี้ ที่ดีให้กับพนักงานยังสะท้อนภาพลักษณ์องค์กรที่ใส่ใจในความปลอดภัยอีกด้วย

7 ข้อเข้าใจผิดเกี่ยวกับ รองเท้าเซฟตี้ ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้

ใส่ รองเท้าเซฟตี้ แค่ตอนมีผู้ตรวจมาดูงานก็พอ

หลายองค์กรมีปัญหา “ใส่เพื่อโชว์” คือพนักงานจะหยิบ รองเท้าเซฟตี้ มาใส่แค่ตอนมีลูกค้า ผู้บริหาร หรือทีมตรวจสอบความปลอดภัยเข้ามาเยี่ยมชมพื้นที่เท่านั้น แต่ในวันทำงานปกติกลับไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดเรื่องความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ พฤติกรรมเช่นนี้นอกจากจะบ่งบอกถึงการขาดจิตสำนึกด้านความปลอดภัยแล้ว ยังทำให้มาตรการความปลอดภัยขององค์กรมีลักษณะเป็นเพียงภาพลักษณ์ภายนอก มากกว่าจะเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่แท้จริง

ในความเป็นจริง อุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อโดยไม่เลือกวันเวลา หรือสถานการณ์ หากพนักงานละเลยการสวมใส่ รองเท้าเซฟตี้ ในวันปกติ แม้เพียงชั่วขณะเดียว ก็อาจเกิดเหตุไม่คาดคิดได้ เช่น วัตถุหล่นใส่เท้า เศษวัสดุแหลมตำ หรือพื้นลื่นที่อาจทำให้ล้มและบาดเจ็บอย่างรุนแรง การไม่ใส่ รองเท้าเซฟตี้ ในสถานการณ์เช่นนี้ ถือว่าเป็นการประมาทต่อชีวิตตนเองและอาจส่งผลกระทบต่อความรับผิดชอบในงาน

รองเท้าเซฟตี้ คือการลงทุนเพื่อความปลอดภัยของตัวเราเอง ไม่ใช่สิ่งที่ควรมองว่าเป็นภาระ หรือเป็นเพียงเครื่องแต่งกายสำหรับโชว์ในโอกาสพิเศษ แต่ควรเป็นอุปกรณ์พื้นฐานที่ทุกคนต้องให้ความสำคัญและสวมใส่จนเป็นนิสัยประจำเมื่ออยู่ในพื้นที่เสี่ยง เพราะความปลอดภัยไม่ใช่เรื่องของภาพลักษณ์ แต่คือการป้องกันชีวิตและสุขภาพของเราในระยะยาว

เลือกใช้ รองเท้าเซฟตี้ อย่างไรให้ถูกต้องและคุ้มค่า

การเลือกและใช้งาน รองเท้าเซฟตี้ ไม่ควรมองเพียงแค่ราคาหรือหน้าตา แต่ควรคำนึงถึงความเหมาะสมกับงาน มาตรฐานความปลอดภัย และความสบายในการใช้งานร่วมด้วย

แนวทางเลือกเบื้องต้น

  • ตรวจสอบมาตรฐานรองเท้า เช่น EN ISO 20345 หรือ มอก.
  • เลือกตามลักษณะงาน (S1, S2, S3 ฯลฯ)
  • ทดลองสวมใส่จริงก่อนซื้อ หากเป็นไปได้
  • พิจารณาแบรนด์ที่เชื่อถือได้ และมีรีวิวดี

>>> เลือก รองเท้าเซฟตี้ เพิ่มเติม