แรงดูดเท่าไหร่ถึงดี? เคล็ดลับเลือก เครื่องดูดฝุ่น ที่คุณอาจไม่เคยรู้

Customers Also Purchased

การซื้อ เครื่องดูดฝุ่น ดี ๆ สักเครื่อง ไม่ได้มีแค่แบรนด์หรือดีไซน์ที่สวยเท่านั้น แต่สิ่งสำคัญคือ “แรงดูด (Suction Power)” ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการทำความสะอาด หลายคนเข้าใจผิดคิดว่า “กำลังวัตต์ (Watt)” คือสิ่งที่บ่งบอกถึงแรงดูดโดยตรง แต่แท้จริงแล้วยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ต้องพิจารณา เช่น Air Watts (AW), Pascal (Pa) หรือระบบการไหลเวียนของอากาศ (CFM) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพการทำงานของ เครื่องดูดฝุ่น ได้อย่างแม่นยำขึ้น หากเลือก เครื่องดูดฝุ่นโดยพิจารณาเพียงแค่กำลังวัตต์ อาจทำให้ได้เครื่องที่แรงดูดไม่เพียงพอต่อการใช้งานจริง หรือเปลืองไฟเกินจำเป็น ดังนั้น เราจะมาทำความเข้าใจว่าค่าแรงดูดที่เหมาะสมเป็นอย่างไร และปัจจัยใดบ้างที่ควรให้ความสำคัญก่อนตัดสินใจซื้อ เพื่อให้ได้ เครื่องดูดฝุ่น ที่เหมาะกับการใช้งานที่สุด

1. เข้าใจหน่วยและค่าที่ใช้บอก ‘แรงดูด’

กำลังไฟฟ้า (Input Power) - หน่วยเป็น Watt (W)

  • เป็นตัวเลขที่บอกว่าเครื่องใช้ไฟฟ้า “กินไฟ” เท่าไหร่ หรือมีกำลังมอเตอร์เท่าไหร่ แต่ไม่ใช่ตัวบอกแรงดูดจริง 100%
  • หลายครั้งที่เห็น เครื่องดูดฝุ่น 1,200W / 1,600W / 2,000W อาจไม่ได้หมายความว่าแรงดูดจะต่างกันตามกำลังไฟนั้นเสมอไป เพราะยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของแรงดูด เช่น การออกแบบใบพัดของมอเตอร์, ประสิทธิภาพของระบบกรองอากาศ และโครงสร้างของช่องทางดูดฝุ่น ซึ่งอาจมีผลให้เครื่องที่มีกำลังไฟสูงแต่มีระบบออกแบบไม่ดี มีแรงดูดน้อยกว่าเครื่องที่ใช้ไฟต่ำกว่าแต่มีการออกแบบที่ดีกว่า
  • นอกจากนี้ การเลือกกำลังไฟที่เหมาะสมยังช่วยในเรื่องการประหยัดพลังงาน หากเครื่องมีประสิทธิภาพสูงแต่ใช้ไฟต่ำ ก็จะช่วยลดค่าไฟฟ้าในระยะยาว และช่วยให้เครื่องทำงานได้ต่อเนื่องโดยไม่เกิดความร้อนสะสมมากเกินไป

Air Watts (AW) หรือ Airflow (CFM)

  • “Air Watts” หรือ “AW” เป็นการวัดแรงดูดที่แม่นยำกว่า ยิ่งตัวเลขสูง ยิ่งดูดแรง ค่านี้ถูกใช้เป็นมาตรฐานในการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของ เครื่องดูดฝุ่น โดยเฉพาะ เครื่องดูดฝุ่นไร้สายและ เครื่องดูดฝุ่น อุตสาหกรรม ซึ่งต้องการแรงดูดที่มากพอสำหรับการใช้งานที่หนักขึ้น ตัวเลข AW ที่สูงมักหมายถึงการส่งพลังงานไปยังหัวดูดฝุ่นอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้สามารถดึงฝุ่น เศษผง และขนสัตว์จากพื้นผิวได้ดีขึ้น
  • “CFM” (Cubic Feet per Minute) คือการวัดปริมาณอากาศที่เครื่องดูดเข้าไปได้ในหนึ่งนาที ยิ่งมาก ก็ยิ่งดูดฝุ่นได้เร็ว โดยเฉพาะในการทำความสะอาดพื้นที่ขนาดใหญ่หรือพรมหนา ค่า CFM ที่สูงยังช่วยลดปัญหาการอุดตันของฝุ่นและสิ่งสกปรกที่สะสมอยู่ในตัวเครื่อง ซึ่งทำให้เครื่องสามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

หน่วย Pa (Pascal) หรือ kPa (kiloPascal)

  • บางแบรนด์จะระบุแรงดูดเป็น “Pa” เช่น 8,000 Pa หรือ 20 kPa (20,000 Pa) ซึ่งยิ่งตัวเลขสูงก็หมายถึงแรงดูดที่สูงขึ้น แต่ไม่ใช่ทุกกรณีที่ค่า Pa สูงจะหมายถึงการดูดฝุ่นที่มีประสิทธิภาพเสมอไป ต้องพิจารณาร่วมกับ Air Watts (AW) และระบบการไหลเวียนอากาศ (CFM) ด้วย
  • เครื่องดูดฝุ่น ไร้สายสมัยใหม่ โดยเฉพาะรุ่นเรือธง (Flagship) อาจโฆษณาแรงดูดสูงถึง 150-200 Air Watts หรือมากกว่า 20 kPa ขึ้นไป ซึ่งเป็นระดับที่สามารถจัดการฝุ่นละเอียด พรมหนา และขนสัตว์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • นอกจากนี้ บางรุ่นยังมีระบบ “Boost Mode” ที่ช่วยเพิ่มแรงดูดชั่วคราวเพื่อดูดฝุ่นหนักได้ดีขึ้น ระบบนี้ทำงานโดยเพิ่มพลังงานให้กับมอเตอร์ชั่วขณะ ส่งผลให้แรงดูดสูงขึ้นในระยะเวลาสั้น ๆ เหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีฝุ่นสะสมมาก เช่น บริเวณพรม โซฟา หรือซอกมุมที่เข้าถึงยาก อย่างไรก็ตาม ควรใช้งานโหมดนี้เป็นระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อป้องกันการใช้พลังงานมากเกินไปและลดการสึกหรอของแบตเตอรี่ใน เครื่องดูดฝุ่น ไร้สาย

สรุป: ถ้าต้องการดูว่าแรงดูดดีหรือไม่ ให้สนใจตัวเลข Air Watts (AW), Pa (Pascal), หรือ CFM เสริมไปด้วย ไม่ใช่ดูแค่กำลังไฟฟ้า (W) อย่างเดียว

แรงดูดเท่าไหร่ถึงดี เคล็ดลับเลือก เครื่องดูดฝุ่น ที่คุณอาจไม่เคยรู้

2. แรงดูดเท่าไหร่ถึงดี?

สำหรับใช้งานในบ้านทั่วไป

  • แรงดูดประมาณ 100–150 Air Watts หรือ 10–15 kPa ถือว่าพอเพียงมากแล้วสำหรับดูดฝุ่นพื้นทั่วไป พรมบาง ๆ และโซฟา โดยเฉพาะฝุ่นขนาดเล็กที่สะสมอยู่ตามซอกมุมภายในบ้าน
  • ถ้าเป็นเครื่องมีสาย (Corded) ส่วนใหญ่จะมีแรงดูดมากพอ ใช้งานได้สบาย และสามารถทำงานต่อเนื่องได้นานโดยไม่ต้องกังวลเรื่องแบตเตอรี่
  • เครื่องดูดฝุ่น แบบไร้สายที่มีแรงดูดระดับนี้เหมาะสำหรับบ้านที่ต้องการความสะดวกในการเคลื่อนย้าย และเหมาะกับผู้ที่ต้องการความคล่องตัวสูง เช่น ใช้ดูดฝุ่นบนบันได บริเวณเฟอร์นิเจอร์ หรือพื้นที่ที่ปลั๊กไฟเข้าถึงยาก
  • ควรเลือก เครื่องดูดฝุ่น ที่มีหัวดูดหลากหลายรูปแบบ เช่น หัวแปรงปัดฝุ่น หัวดูดแบบแบนสำหรับพื้นแข็ง หรือหัวดูดเฉพาะสำหรับโซฟาและที่นอน เพื่อให้ทำความสะอาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • นอกจากนี้ ควรเลือก เครื่องดูดฝุ่น ที่มีระบบกรองฝุ่นที่ดี เช่น HEPA Filter เพื่อช่วยดักจับฝุ่นละอองขนาดเล็กและสารก่อภูมิแพ้ ทำให้อากาศในบ้านสะอาดขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นภูมิแพ้หรือมีเด็กเล็กในบ้าน

สำหรับดูดพรมหนา ขนสัตว์ หรือฝุ่นละเอียดมาก

  • อาจต้องเลือกเครื่องที่มี 150 – 200 Air Watts ขึ้นไป หรือไม่ก็ เครื่องดูดฝุ่น แบบอุตสาหกรรมที่เน้นแรงดูดสูง เครื่องประเภทนี้มักมีพลังในการดูดฝุ่นที่ลึกขึ้น สามารถดึงฝุ่นที่แทรกอยู่ในพรมหรือที่สะสมเป็นชั้น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ถ้าเป็นเครื่องไร้สาย ต้องมองหารุ่นที่มีโหมด “Max” หรือ “Turbo” เพื่อเพิ่มแรงดูดในกรณีดูดจุดที่สกปรกมาก ๆ บางรุ่นอาจมีเทคโนโลยีที่ช่วยปรับแรงดูดอัตโนมัติตามประเภทของพื้นผิว ทำให้สะดวกต่อการใช้งานโดยไม่ต้องปรับเอง
  • บางรุ่นมีหัวดูดพิเศษที่ออกแบบมาเพื่อลดปัญหาฝุ่นและขนสัตว์ติดหัวแปรง เช่น หัวแปรงไฟฟ้า (Motorized Brush) ที่ช่วยกวาดฝุ่นและขนสัตว์ให้หลุดออกจากพื้นผิวก่อนจะถูกดูดเข้าไป ทำให้การทำความสะอาดมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในบ้านที่มีสัตว์เลี้ยง

งานช่างไม้ ดูดเศษไม้ หรือใช้ในอุตสาหกรรม

  • เครื่องดูดฝุ่น ต้องมีแรงดูดสูง และมีถังเก็บฝุ่นที่ใหญ่ หรือระบบกรองฝุ่นประสิทธิภาพสูง (HEPA Filter) เพื่อให้สามารถรองรับปริมาณฝุ่นและเศษวัสดุจำนวนมากได้โดยไม่ทำให้เครื่องอุดตันเร็วเกินไป
  • แรงดูดอาจอยู่ที่ 200–300 Air Watts หรือ 20 kPa ขึ้นไป เพื่อกำจัดเศษเลื่อย เศษไม้ รวมถึงฝุ่นขนาดเล็กได้อย่างหมดจด โดยเฉพาะในงานที่ต้องเจอกับฝุ่นละเอียด เช่น งานไม้ งานโลหะ หรืออุตสาหกรรมที่ต้องการความสะอาดสูง
  • ควรเลือกเครื่องที่มีระบบกรองฝุ่น 2 ชั้นขึ้นไป เช่น ระบบกรองแบบพรีฟิลเตอร์ที่ช่วยดักจับฝุ่นขนาดใหญ่ก่อนเข้าสู่ตัวกรองหลัก และ HEPA Filter ที่สามารถกรองฝุ่นขนาดเล็กถึงระดับไมครอนได้ เพื่อป้องกันฝุ่นละเอียดเข้าสู่มอเตอร์ ซึ่งจะช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องได้มากขึ้น
  • นอกจากนี้ ควรพิจารณาระบบการเทฝุ่นที่สะดวก เช่น ถังเก็บฝุ่นแบบถอดออกง่าย หรือถังที่มีระบบบีบอัดฝุ่น เพื่อลดการสัมผัสกับฝุ่นละอองและทำให้การทำความสะอาดเครื่องเป็นเรื่องง่ายขึ้น

แรงดูดเท่าไหร่ถึงดี เคล็ดลับเลือก เครื่องดูดฝุ่น ที่คุณอาจไม่เคยรู้

3. เคล็ดลับเลือก เครื่องดูดฝุ่น ไม่ให้พลาด

อย่าดูแค่ ‘วัตต์’ อย่างเดียว

  • ย้ำกันอีกครั้ง! ตัวเลขวัตต์บอกแค่กำลังไฟ ไม่ได้บอกแรงดูดเต็ม ๆ ควรเทียบ Air Watts หรือ Pa ประกอบ นอกจากนี้ยังควรพิจารณาประสิทธิภาพของระบบมอเตอร์และการออกแบบของ เครื่องดูดฝุ่น ร่วมด้วย เนื่องจากบางรุ่นที่ใช้กำลังไฟน้อยกว่าอาจมีระบบหมุนเวียนอากาศที่มีประสิทธิภาพสูง ทำให้แรงดูดไม่ลดลงแม้ว่าจะใช้พลังงานน้อยกว่า
  • แบรนด์บางรายมีเทคโนโลยีที่ช่วยให้แรงดูดเสถียรแม้กำลังไฟต่ำ เช่น ระบบมอเตอร์แบบแรงบิดสูง (High Torque Motor) หรือการออกแบบช่องลมที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนอากาศ ทำให้สามารถดูดฝุ่นได้มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับเครื่องที่ใช้ไฟสูงกว่า นอกจากนี้ ระบบเซ็นเซอร์อัจฉริยะที่ปรับแรงดูดตามพื้นผิวก็ช่วยให้เครื่องทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัดพลังงานมากขึ้น

ตรวจสอบระบบกรอง (Filter)

  • ระบบกรองฝุ่นดี ๆ อย่าง HEPA Filter จะช่วยดักฝุ่นละอองขนาดเล็กได้ถึง PM2.5 ซึ่งช่วยลดปริมาณฝุ่นในอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับบ้านที่มีเด็กเล็กหรือผู้ที่เป็นภูมิแพ้
  • ฟิลเตอร์บางรุ่นสามารถล้างทำความสะอาดได้ ลดค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนฟิลเตอร์ใหม่ แต่ควรตรวจสอบว่าฟิลเตอร์สามารถใช้งานได้นานแค่ไหน และมีข้อจำกัดในการทำความสะอาดหรือไม่
  • นอกจากนี้ ควรพิจารณาระบบกรองเสริม เช่น ระบบกรองคาร์บอน ที่สามารถช่วยลดกลิ่นไม่พึงประสงค์และสารเคมีในอากาศ ทำให้พื้นที่ภายในบ้านหรือที่ทำงานสะอาดและปลอดภัยยิ่งขึ้น

ความจุถังเก็บฝุ่น

  • บางรุ่นที่แรงดี แต่ถังเล็ก ต้องเทฝุ่นบ่อย อาจไม่สะดวก โดยเฉพาะหากใช้งานในพื้นที่ขนาดใหญ่
  • ควรเลือกเครื่องที่มีระบบบีบอัดฝุ่นเพื่อลดปริมาณฝุ่นที่ต้องเทออกบ่อย ซึ่งช่วยให้สะดวกและลดการสัมผัสกับฝุ่นโดยตรง
  • เครื่องดูดฝุ่น บางรุ่นมาพร้อมกับระบบแจ้งเตือนเมื่อถังฝุ่นเต็ม ทำให้สามารถกำหนดเวลาเทฝุ่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ทำให้ประสิทธิภาพแรงดูดลดลงเนื่องจากถังเต็ม


แรงดูดเท่าไหร่ถึงดี เคล็ดลับเลือก เครื่องดูดฝุ่น ที่คุณอาจไม่เคยรู้

รีวิวจากผู้ใช้งานจริง

  • การอ่านรีวิวหรือฟังคำแนะนำจากผู้ใช้งานจริงมักช่วยให้ได้ข้อมูลเชิงลึก ทั้งการดูดพรม การดูดขนสัตว์ การดูดซอกเล็ก ๆ รวมถึงอายุการใช้งานของเครื่อง
  • ดูรีวิวหลายแหล่งเพื่อเปรียบเทียบ ข้อดี-ข้อเสีย ก่อนตัดสินใจ ควรให้ความสำคัญกับประสบการณ์การใช้งานจริงมากกว่าข้อมูลจากผู้ผลิต
  • บางแบรนด์มีการรับประกันที่ดีกว่าและมีศูนย์บริการที่สะดวกกว่า ซึ่งช่วยให้มั่นใจว่าหากมีปัญหาสามารถเข้ารับการซ่อมหรือเปลี่ยนอะไหล่ได้ง่าย ไม่ต้องรอนาน

4. ประหยัดพลังงานได้ไหม?

  • มองหาฉลากประหยัดไฟหรือ Energy Star: แม้ปัจจุบันจะไม่ได้มีฉลากการประหยัดพลังงานสำหรับ เครื่องดูดฝุ่นในทุกประเทศ แต่บางยี่ห้ออาจมีมาตรฐานการใช้พลังงานหรือฉลาก Energy Star
  • เลือกโหมด Eco: บางเครื่องมีโหมดที่ใช้พลังงานต่ำกว่าแต่ยังคงประสิทธิภาพสูง
  • ถอดปลั๊กเมื่อไม่ได้ใช้งาน: แม้แต่เครื่องที่ปิดแล้วก็ยังใช้พลังงานเล็กน้อยหากเสียบปลั๊กทิ้งไว้

สรุป

เครื่องดูดฝุ่น ที่มี “แรงดูด” ดีไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเลขวัตต์เพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับค่าจริงอย่าง Air Watts, Pascal (Pa), หรือ CFM ประกอบด้วย นอกจากนี้ การเลือก เครื่องดูดฝุ่น ควรคำนึงถึงระบบกรองฝุ่นที่มีคุณภาพ เช่น HEPA Filter ที่สามารถดักจับฝุ่นละอองขนาดเล็กและสารก่อภูมิแพ้ได้ดี นอกจากระบบกรองแล้ว ขนาดของถังเก็บฝุ่นก็มีความสำคัญ เครื่องดูดฝุ่น ที่มีถังขนาดใหญ่จะช่วยลดความถี่ในการเทฝุ่น ทำให้สะดวกต่อการใช้งานมากขึ้น และอย่าลืมตรวจสอบรีวิวจากผู้ใช้งานจริงเพื่อให้มั่นใจว่า เครื่องดูดฝุ่น รุ่นที่เลือกมีประสิทธิภาพตรงตามที่ต้องการ รวมถึงมีความทนทานต่อการใช้งานระยะยาว การเลือก เครื่องดูดฝุ่น ที่ประหยัดพลังงานก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญ ควรมองหาเครื่องที่มีระบบ Eco Mode หรือได้รับมาตรฐาน Energy Star เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าในระยะยาว ทั้งหมดนี้จะช่วยให้คุณเลือก เครื่องดูดฝุ่น ที่ แรง ทน และตอบโจทย์ การใช้งานของคุณได้อย่างแท้จริง!

เลือกซื้อ เครื่องดูดฝุ่น หลากหลายแบบที่เหมาะกับการใช้งานของคุณ