Customers Also Purchased
ซิลิโคน (Silicone Sealant) ถือเป็นหนึ่งในวัสดุเชื่อมและซีลที่ได้รับความนิยมสูง ทั้งในงานก่อสร้างและงานซ่อมแซมทั่วไป รวมถึงอุตสาหกรรมใหญ่ ๆ อย่างยานยนต์ เครื่องจักร และอิเล็กทรอนิกส์ ความสำเร็จของ ซิลิโคน ในฐานะวัสดุสารพัดประโยชน์นั้น เกิดจาก “ประเภท” และ “ส่วนประกอบ” ของซิลิโคนที่แตกต่างและถูกปรับแต่งให้เหมาะกับการใช้งานหลากหลายรูปแบบ บทความนี้จะพาคุณไปเจาะลึกถึงสาระสำคัญของส่วนประกอบหลัก ตลอดจนแยกประเภทของ ซิลิโคน เพื่อให้สามารถเลือกใช้ได้ตรงตามความต้องการและสภาพแวดล้อมการใช้งาน
1. ส่วนประกอบหลักของ ซิลิโคน
การเข้าใจส่วนประกอบของ ซิลิโคน (Silicone Sealant) จะช่วยให้เราทราบว่าเหตุใดซิลิโคนจึงมีคุณสมบัติเด่น เช่น ความยืดหยุ่น ทนทานต่อความร้อน ความชื้น และการเสื่อมสภาพ โดยทั่วไป ซิลิโคน มักประกอบด้วย
1. พอลิเมอร์ซิลิโคน (Silicone Polymer Base)
- เป็นแกนหลักของ ซิลิโคน โดยมากมักเป็นพอลิเมอร์ในตระกูลโพลีไดเมทิลไซล็อกเซน (Polydimethylsiloxane: PDMS) ที่มีลักษณะเป็นโซ่โมเลกุลยาว
- จุดเด่นคือความยืดหยุ่นสูง (Elasticity) และความสามารถในการทนทานต่ออุณหภูมิหลากหลาย (มักประมาณ -50°C ถึง 250°C หรือมากกว่าขึ้นอยู่กับสูตร)
2. ตัวเชื่อมขวาง/ตัวทำให้เกิดการเชื่อม (Crosslinker)
ทำหน้าที่สร้างพันธะระหว่างโมเลกุลของพอลิเมอร์ซิลิโคน เพื่อเปลี่ยนสถานะจากของเหลวหรือกึ่งเหลวให้กลายเป็นของแข็งที่ยืดหยุ่น
เมื่อ ซิลิโคน สัมผัสกับความชื้นในอากาศ (สำหรับระบบ 1 ส่วน) หรือสารกระตุ้นอีกชนิด (สำหรับระบบ 2 ส่วน) ตัวเชื่อมขวางจะทำงาน ส่งผลให้กาวกลายเป็นยางซิลิโคนที่ทนต่อสภาวะแวดล้อม
3. ตัวเร่งปฏิกิริยา/ตัวเร่งการแห้ง (Catalyst)
- มีหน้าที่เร่งกระบวนการเคมีในการเชื่อมขวางให้เกิดเร็วขึ้น
- ในระบบ ซิลิโคน สูตรกรด (Acetoxy) หรือสูตรกลาง (Neutral) จะใช้ตัวเร่งคนละชนิดกัน เช่น Tin catalyst, Amine catalyst หรือ Oxime เป็นต้น
4. สารตัวเติม (Filler)
- เช่น ซิลิกา (Silica) หรือแคลเซียมคาร์บอเนต (Calcium Carbonate) ช่วยปรับปรุงคุณสมบัติด้านความแข็งแรง ความเหนียว และการยึดเกาะ
- ยังช่วยลดต้นทุนการผลิต และบางครั้งใช้ควบคุมความหนืด (Viscosity) ของ ซิลิโคน
5. สารปรับปรุงคุณสมบัติ (Additives)
- อาจเป็นสารกันเชื้อรา (Fungicide) เพื่อลดการเกิดเชื้อราในพื้นที่เปียกชื้น
- สารป้องกันรังสี UV เพื่อชะลอการเสื่อมสภาพเมื่อเจอแสงแดด
- สารกันลามไฟ (Flame Retardant) สำหรับงานที่ต้องการมาตรฐานความปลอดภัยสูง
6. ตัวทำละลายหรือตัวทำให้เจือจาง (Solvent/Diluent)
- บางสูตรอาจมีตัวทำละลายเพื่อปรับสภาพความเหลวของซิลิโคน แต่ใน ซิลิโคน สูตร 100% (100% Silicone) มักไม่ค่อยใส่ตัวทำละลายหรือใส่น้อยมาก เพื่อให้ได้คุณภาพสูงสุด
กล่าวโดยสรุป ส่วนประกอบเหล่านี้จะทำงานร่วมกันเพื่อให้ ซิลิโคน มีคุณสมบัติเด่น ทั้งการยึดเกาะ (Adhesion), ความยืดหยุ่น (Elasticity), การกันน้ำ (Waterproof), และความทนทานต่อสารเคมีหรืออุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง
2. การแบ่งประเภท ซิลิโคน ตามระบบการแห้ง (Curing Systems)
วิธีหนึ่งในการแบ่งประเภทของ ซิลิโคน คือการพิจารณากระบวนการแห้งและการเชื่อมขวางของกาว (Curing Method) ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อคุณสมบัติและการนำไปใช้งาน
1. ซิลิโคนระบบ 1 ส่วน (One - Part Silicone)
- พบได้บ่อยในงานก่อสร้างและงานซ่อมแซมทั่วไป เพราะใช้งานสะดวก ไม่ต้องผสมก่อน
- กระบวนการแห้งตัวใช้ “ความชื้นในอากาศ” เป็นตัวกระตุ้น เมื่อบีบกาวจากหลอดหรือกระบอกออกมา กาวจะทำปฏิกิริยาเชื่อมขวางจนแข็งตัว
- แบ่งเป็นชนิดย่อย ๆ เช่น Acetoxy Cure, Neutral Cure (Alkoxy, Oxime) โดยจะแตกต่างกันที่สารระเหยหรือสารพลอยได้ระหว่างการแห้งตัว
2. ซิลิโคนระบบ 2 ส่วน (Two - Part Silicone)
- กาวจะถูกแบ่งเป็นสองส่วน (Base กับ Curing Agent) ต้องผสมกันก่อนใช้งาน
- เหมาะกับงานอุตสาหกรรมหรือการใช้งานที่ต้องการควบคุมระยะเวลาแห้งตัวอย่างแม่นยำ เช่น งานหล่อแบบ (Molding), งานอิเล็กทรอนิกส์ หรือการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์
- สามารถควบคุมอัตราส่วนผสมเพื่อปรับความแข็ง (Hardness) หรือความเร็วในการแข็งตัวได้ตามต้องการ
3. การแบ่งประเภท ซิลิโคน ตามสารระเหยหรือสารพลอยได้ (Acetic vs. Neutral)
ในกลุ่มของ “ซิลิโคนระบบ 1 ส่วน” สามารถแบ่งย่อยได้ตามลักษณะสารระเหย (Byproduct) ที่เกิดขึ้นในระหว่างการแห้งตัว ซึ่งจะส่งผลต่อกลิ่นและความเป็นกรด-ด่างของกาว
1. ซิลิโคนแบบกรด หรือ Acetoxy Silicone Sealant
- ปล่อยไอระเหยของกรดอะซิติก (Acetic Acid) จึงมีกลิ่นคล้ายน้ำส้มสายชูค่อนข้างฉุน
- ข้อดี: เซ็ตตัวค่อนข้างเร็ว ยึดเกาะกระจกและเซรามิกดีเยี่ยม ราคาถูกกว่าเมื่อเทียบกับชนิดอื่น
- ข้อจำกัด: ไม่เหมาะกับโลหะบางชนิด เช่น เหล็กหรืออะลูมิเนียม เพราะอาจกัดกร่อนหรือทำให้ผิวเป็นสนิมง่าย
2. ซิลิโคนแบบกลาง หรือ Neutral Silicone Sealant
- อาจใช้สารระเหยกลุ่มแอลกอกซี (Alkoxy) หรือออกซิม (Oxime) ทำให้ไม่มีกลิ่นฉุนและไม่กัดกร่อนโลหะ
- ข้อดี: ใช้กับวัสดุหลากหลาย ไม่ต้องกังวลเรื่องการกัดกร่อน ยึดเกาะได้ดีทั้งกับไม้ โลหะ พลาสติก และคอนกรีต
- ข้อจำกัด: ราคาสูงกว่าแบบกรด และบางสูตรอาจใช้เวลานานกว่าในการแห้งตัว
4. การแบ่งประเภท ซิลิโคน ตามลักษณะการใช้งาน (General Purpose vs. Specialty)
นอกจาก “วิธีการแห้ง” และ “สารระเหย” ที่ใช้แล้ว วงการซิลิโคนยังมีการจัดกลุ่มตามวัตถุประสงค์การใช้งาน (Application) ทำให้เราสามารถเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติเฉพาะเหมาะกับงานแต่ละประเภทได้มากขึ้น
1. ซิลิโคน อเนกประสงค์ (General Purpose Silicone)
- สูตรมาตรฐานที่ออกแบบมาให้ยึดเกาะได้หลากหลายวัสดุ และทนสภาวะทั่วไป
- นิยมใช้ในงานตกแต่งหรือซ่อมแซมภายในบ้าน เช่น ซีลขอบหน้าต่าง ขอบประตู รอยร้าวเล็ก ๆ ตามผนัง
2. ซิลิโคน ทนความร้อน/อุณหภูมิสูง (High-Temperature Silicone)
- พัฒนาสูตรให้ทนความร้อนมากกว่า 300°C หรือสูงกว่านั้นในบางกรณี
- เหมาะกับงานอุตสาหกรรมยานยนต์ (เช่น ซีลฝาสูบหรือท่อไอเสีย) เตาอบ หรือบริเวณที่เจอความร้อนสูง
3. ซิลิโคน กันเชื้อรา (Anti-Fungal Silicone)
- ผสมสารต้านเชื้อราในตัว (Fungicide) ป้องกันการเกิดเชื้อราบนผิวซิลิโคน
- เหมาะสำหรับพื้นที่เปียกชื้น เช่น ห้องน้ำ ห้องครัว อ่างล้างหน้า หรืออ่างอาบน้ำ
4. ซิลิโคน Food Grade
- ผ่านการรับรองว่าปลอดภัยเมื่อสัมผัสกับอาหาร (Food Contact Safe)
- มักใช้ในงานซีลเครื่องครัว อุปกรณ์ประกอบอาหาร หรือพื้นผิวที่อาหารอาจสัมผัสโดยตรง
5. ซิลิโคน สำหรับอุตสาหกรรมเฉพาะ
- อาจปรับสูตรให้มีความแข็งสูง หรือมีความใสพิเศษ (Optically Clear) สำหรับงานอิเล็กทรอนิกส์และเลนส์แสง
- บางสูตรถูกออกแบบมาให้ทาสีทับได้ หรือให้มีการยึดเกาะได้ดีกับพลาสติกชนิดพิเศษ
5. ความสัมพันธ์ระหว่าง “ส่วนประกอบ” กับ “ประเภท”
เมื่อนำ “ส่วนประกอบ” และ “ประเภท” มาประกอบกัน จะเห็นว่า
- สารฐาน (Base Polymer) เป็นตัวกำหนดความยืดหยุ่นและทนทานขั้นพื้นฐาน
- Crosslinker และ Catalyst เป็นตัวกำหนดกระบวนการแห้งตัวว่าจะเป็น Acetoxy, Neutral หรือ 2 ส่วน รวมถึงกำหนดเวลาที่กาวจะแข็งตัวเต็มที่
- สารเติมแต่ง (Additives) เช่น สารต้านเชื้อรา ทำให้ ซิลิโคน บางประเภทโดดเด่นในงานห้องน้ำหรือพื้นที่ชื้นมาก ส่วนสารทนไฟอาจจำเป็นในงานระบบอุตสาหกรรมและก่อสร้างที่มีมาตรฐานความปลอดภัยสูง
6. ความสำคัญของการเลือก ซิลิโคน ให้เหมาะกับงาน
การจะเลือกใช้ ซิลิโคน ได้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ ต้องคำนึงถึง
1. พื้นผิว (Substrate)
- เป็นกระจก โลหะ ไม้ คอนกรีต หรือพลาสติก?
- หากเป็นโลหะที่กัดกร่อนได้ง่าย อาจต้องเลือก Neutral Silicone
2. สภาพแวดล้อม (Environment)
- อุณหภูมิสูง? โดนแดดจัด? เปียกชื้นตลอดเวลา?
- ควรระบุชัดว่างานต้องทน UV, ทนเชื้อรา หรือทนความร้อนสูงแค่ไหน
- มาตรฐานหรือข้อกำหนดพิเศษ
3. งานสัมผัสอาหาร (Food Grade)
- งานอุตสาหกรรมที่ต้องผ่านมาตรฐานการกันไฟหรือทาสีทับได้
4. รูปแบบการใช้งาน (Application Method)
- ใช้ปืนยิงกาวทั่วไป หรือเครื่องจักรขนาดใหญ่ในสายการผลิต?
- หากเป็นระบบ 2 ส่วน อาจต้องมีเครื่องผสมหรือชั่งตวงที่แม่นยำ
7. ข้อดี - ข้อจำกัดของ ซิลิโคน แต่ละประเภท
1. Acetoxy Silicone
- ข้อดี: แห้งไว ราคาย่อมเยา ยึดเกาะวัสดุบางชนิดเยี่ยม
- ข้อจำกัด: มีกลิ่นฉุน และกัดกร่อนโลหะบางชนิด
2. Neutral Silicone (Alkoxy/Oxime)
- ข้อดี: กลิ่นอ่อน ใช้ได้กับวัสดุหลากหลาย ไม่กัดกร่อน
- ข้อจำกัด: ราคาสูงกว่า อาจแห้งช้ากว่าเล็กน้อย
3. High-Temp Silicone
- ข้อดี: รับความร้อนได้สูง เหมาะงานยานยนต์หรือเตาอบ
- ข้อจำกัด: ราคาแพงกว่า และสีอาจมีให้เลือกจำกัด
4. Food-Grade Silicone
- ข้อดี: ปลอดภัยเมื่อสัมผัสอาหาร ตอบโจทย์งานครัว
- ข้อจำกัด: อาจมีราคาและตัวเลือกน้อยกว่า ต้องตรวจสอบมาตรฐานรับรอง
5. สองส่วน (Two-Part)
- ข้อดี: ควบคุมเวลาการแห้งได้แม่นยำ มักมีคุณสมบัติเฉพาะขั้นสูง
- ข้อจำกัด: ต้องผสมก่อนใช้ ใช้อุปกรณ์เสริม ราคาและกระบวนการซับซ้อนกว่า
8. สรุป: ทำไม “ประเภท” และ “ส่วนประกอบ” ถึงเป็นหัวใจของ ซิลิโคน
การเข้าใจ “ประเภท” ของ ซิลิโคน และ “ส่วนประกอบ” หลักที่สร้างคุณสมบัติพิเศษต่าง ๆ ถือเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกใช้ได้อย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการซ่อมแซมเล็กน้อยภายในบ้านหรืองานโครงการขนาดใหญ่ระดับอุตสาหกรรม เพราะภายใต้ชื่อเรียก “ซิลิโคน” ที่ดูเหมือนเป็นวัสดุชนิดเดียว ยังแยกย่อยไปได้อีกหลายสาย ทั้ง Acetoxy, Neutral, High-Temp, Anti-Fungal, Food-Grade และอื่น ๆ อีกมาก
- ส่วนประกอบ เช่น พอลิเมอร์ฐาน (PDMS) Crosslinker และ Additives เป็นตัวกำหนดคุณสมบัติทางเคมีและทางกายภาพ
- ประเภท ของ ซิลิโคน เป็นตัวบ่งบอกว่ากาวนั้นจะมีจุดเด่นอะไรบ้าง ทั้งเรื่องการยึดเกาะ ระยะเวลาแห้งตัว ปริมาณกลิ่น และการทนต่อสภาพแวดล้อม
- การเลือกให้ถูกต้อง จึงหมายถึงการประหยัดเวลา ต้นทุน และได้ผลงานที่คงทนยาวนาน
สำหรับใครที่กำลังมองหา ซิลิโคน เพื่อนำไปใช้ในโครงการหรืองานในบ้าน แนะนำให้ตรวจสอบ “ประเภท” ของซิลิโคนและอ่าน “ส่วนประกอบ” บนฉลากสินค้าอย่างละเอียด อย่าลืมพิจารณาสภาพแวดล้อม พื้นผิว และเงื่อนไขหน้างานควบคู่ไปด้วย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ปลอดภัย และคุ้มค่าในระยะยาว!