Customers Also Purchased
รองเท้าเซฟตี้ มีความสำคัญในการปกป้องเท้าของคุณเวลาปฏิบัติงานในสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยง เช่น โรงงานอุตสาหกรรม งานก่อสร้าง คลังสินค้า และสถานที่ที่อาจเกิดอันตรายจากการกระแทก การเหยียบของมีคม หรือการสัมผัสกับสารเคมี แต่สิ่งเหล่านี้อาจจะมักถูกมองข้ามไป ในการเลือก รองเท้าเซฟตี้ ที่เหมาะสมกับประเภทของงานและได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากลไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุเท่านั้นนะครับ แต่ยังช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการทำงานอีกด้วย
ในบทความนี้จะพาคุณไปรู้จักมาตรฐาน รองเท้าเซฟตี้ ที่ได้รับการยอมรับทั่วโลกกันนะครับ เพื่อช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจในการเลือกซื้อ รองเท้าเซฟตี้ ที่ตรงกับความต้องการของงาน และมั่นใจในความปลอดภัยของตัวเอง หากพร้อมแล้วล่ะก็ ไปอ่านบทึวามนี้กันได้เลยครับ
มาตรฐาน รองเท้าเซฟตี้ ที่สำคัญ
รองเท้าเซฟตี้ ก็เหมือนกับเครื่องมือและอึปกรณ์อื่นๆ ที่มีมาตรฐานที่หลากหลาย ซึ่งได้รับการรับรองจากหน่วยงานต่างๆ ทั่วโลก โดยแต่ละมาตรฐานมีการกำหนดข้อกำหนดที่แตกต่างกันไป เพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะของการใช้งาน และสภาพแวดล้อมการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันการกระแทก การกันลื่น การกันน้ำมัน หรือแม้แต่การป้องกันไฟฟ้าสถิต มาตรฐานเหล่านี้ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกซื้อรองเท้าเซฟตี้ที่เหมาะสมกับงานของตนเองได้อย่างมั่นใจ
ISO 20345:2021
ISO 20345 เป็นมาตรฐานระดับสากลสำหรับ รองเท้าเซฟตี้ ที่กำหนดโดยองค์การมาตรฐานสากล (ISO) ซึ่งได้รับการพัฒนาเพื่อให้รองเท้าเซฟตี้สามารถปกป้องเท้าของผู้สวมใส่จากอันตรายต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมาตรฐานนี้ถูกอัปเดตครั้งล่าสุดในปี 2021 เพื่อให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีและสภาพแวดล้อมการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไป จุดเด่นของ ISO 20345 คือการกำหนดข้อกำหนดที่เข้มงวดในเรื่องของความสามารถในการทนแรงกระแทก การป้องกันการเจาะทะลุ และคุณสมบัติอื่น ๆ เช่น ความสามารถในการกันลื่น การทนต่อสารเคมี และการป้องกันไฟฟ้าสถิต ซึ่งช่วยให้รองเท้าเซฟตี้ที่ผ่านมาตรฐานนี้สามารถตอบสนองความต้องการของอุตสาหกรรมที่หลากหลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ISO 20345 หัวรองเท้าต้องสามารถทนแรงกระแทกได้อย่างน้อย 200 จูล ต้องทนแรงกดได้ 15 kN กันลื่นและป้องกันน้ำมัน ความสามารถในการป้องกันไฟฟ้าสถิต ความสามารถในการป้องกันสารเคมี วัสดุพื้นรองเท้าต้องสามารถกันทะลุได้
- ISO 20346 เป็นมาตรฐานสำหรับรองเท้าป้องกันทั่วไป ซึ่งมีความสามารถในการรับแรงกระแทกน้อยกว่า ISO 20345
- ISO 20347 เป็นมาตรฐานสำหรับรองเท้าทำงานที่ไม่ได้มีหัวเหล็ก แต่ยังคงมีคุณสมบัติในการกันลื่นและกันน้ำมัน
มาตรฐาน CE (Conformité Européenne)
มาตรฐาน CE เป็นข้อกำหนดของสหภาพยุโรป (EU) ที่รับรองว่ารองเท้าเซฟตี้ผ่านการทดสอบตามมาตรฐานยุโรป (EN Standards) ซึ่งหมายความว่ารองเท้าเซฟตี้เหล่านี้ต้องเป็นไปตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยที่เข้มงวดเพื่อให้มั่นใจได้ว่าสามารถปกป้องผู้ใช้งานจากอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมการทำงาน มาตรฐาน CE ครอบคลุมหลายหมวดหมู่ รวมถึงการป้องกันแรงกระแทก การกันลื่น การป้องกันการซึมผ่านของของเหลว และความสามารถในการป้องกันไฟฟ้าสถิต รองเท้าที่ได้รับการรับรอง CE ไม่เพียงแต่ต้องผ่านการทดสอบภายในห้องปฏิบัติการ แต่ยังต้องได้รับการตรวจสอบคุณภาพในการใช้งานจริง เพื่อให้แน่ใจว่าเหมาะสมกับสภาวะการทำงานที่แตกต่างกันในอุตสาหกรรมต่าง ๆ
มาตรฐาน EN ISO 20345
มาตรฐานนี้กำหนดประเภทของรองเท้าเซฟตี้ตามระดับการป้องกัน
- SB: มาตรฐานขั้นต่ำสุด มีหัวเหล็กป้องกันแรงกระแทก 200 จูล
- S1: เพิ่มคุณสมบัติกันไฟฟ้าสถิตและซึมซับแรงกระแทกที่ส้นเท้า
- S1P: เหมือน S1 แต่เพิ่มแผ่นกันทะลุที่พื้นรองเท้า
- S2: มีคุณสมบัติเหมือน S1 แต่เพิ่มการป้องกันน้ำซึมเข้ารองเท้า
- S3: มีคุณสมบัติเหมือน S2 แต่เพิ่มแผ่นกันทะลุที่พื้นรองเท้า
- S4-S5: มาตรฐานสูงสุดสำหรับรองเท้าบู๊ตกันน้ำ และกันสารเคมี
มาตรฐาน ASTM (American Society for Testing and Materials)
ASTM F2413-18
ASTM F2413 เป็นมาตรฐานรองเท้าเซฟตี้ของสหรัฐอเมริกาที่กำหนดคุณสมบัติด้านความปลอดภัย เพื่อให้แน่ใจว่ารองเท้าที่ผ่านการรับรองสามารถปกป้องผู้สวมใส่จากอันตรายที่อาจเกิดขึ้นในสถานที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มาตรฐานนี้ครอบคลุมหลากหลายคุณสมบัติ เช่น ความสามารถในการทนแรงกระแทก ความสามารถในการต้านทานแรงกด คุณสมบัติการป้องกันการเจาะทะลุ รวมถึงการป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าและสารเคมี ASTM F2413 ยังรวมถึงข้อกำหนดในการทดสอบประสิทธิภาพของวัสดุที่ใช้ผลิตรองเท้า เพื่อให้มั่นใจได้ว่ารองเท้าที่ผ่านมาตรฐานนี้สามารถรองรับการใช้งานในอุตสาหกรรมหนัก งานก่อสร้าง และงานที่มีความเสี่ยงสูงได้อย่างดีเยี่ยม
ข้อกำหนดหลักของ ASTM F2413
- หัวรองเท้าป้องกันแรงกระแทก 75 ft-lbs (ประมาณ 101.7 จูล)
- ทนแรงกดได้ 2500 ปอนด์ (ประมาณ 11.1 kN)
- ป้องกันการทะลุของพื้นรองเท้า (PR - Puncture Resistant)
- คุณสมบัติในการป้องกันไฟฟ้า (EH - Electrical Hazard)
- คุณสมบัติในการกันลื่นและสารเคมี
วิธีเลือกซื้อ รองเท้าเซฟตี้ ให้เหมาะสม
ตรวจสอบมาตรฐาน
เลือกรองเท้าที่มีสัญลักษณ์รับรองมาตรฐาน เช่น ISO 20345, CE EN ISO 20345, ASTM F2413 ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ รองเท้าที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานเหล่านี้จะผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวดเพื่อให้แน่ใจว่าเหมาะสมกับการใช้งานในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น งานก่อสร้าง โรงงานผลิต และงานที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้า โดยการเลือกซื้อรองเท้าเซฟตี้ที่มีสัญลักษณ์มาตรฐานเหล่านี้จะช่วยให้มั่นใจได้ว่ารองเท้าสามารถปกป้องเท้าจากอันตรายต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงช่วยเพิ่มความปลอดภัย และความสบายในการสวมใส่ระหว่างการทำงาน
วัสดุของรองเท้า
หัวเหล็ก (Steel Toe Cap)
ป้องกันแรงกระแทกได้ดีมาก สามารถรับแรงกระแทกจากวัตถุที่ตกลงมาหรือแรงกดทับจากเครื่องจักรได้อย่างมีประสิทธิภาพ มักใช้ในอุตสาหกรรมหนัก เช่น ก่อสร้าง โรงงานผลิต และเหมืองแร่ อย่างไรก็ตาม หัวเหล็กมีน้ำหนักมากกว่าหัวรองเท้าแบบอื่น อาจทำให้รู้สึกเมื่อยล้าหากต้องสวมใส่เป็นเวลานาน นอกจากนี้ หัวเหล็กยังเป็นสื่อนำความร้อนและไฟฟ้า จึงไม่เหมาะกับงานที่ต้องเผชิญกับกระแสไฟฟ้าหรืออุณหภูมิสูง
หัว (Composite Toe Cap)
น้ำหนักเบา ไม่เป็นสื่อนำไฟฟ้า ทำจากวัสดุสังเคราะห์ที่มีความแข็งแรง เช่น ไฟเบอร์กลาส หรือพลาสติกเสริมแรง จึงสามารถป้องกันแรงกระแทกได้ใกล้เคียงกับหัวเหล็ก แต่ไม่เพิ่มน้ำหนักให้กับรองเท้ามากนัก ทำให้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความคล่องตัวในการทำงาน เช่น ช่างเทคนิค วิศวกร หรือบุคลากรที่ต้องเดินหรือยืนเป็นเวลานาน นอกจากนี้ หัว Composite ยังไม่เป็นสื่อนำความร้อนและไฟฟ้า ทำให้เหมาะกับงานที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้าหรืออุณหภูมิสูง อีกทั้งยังไม่ก่อให้เกิดสัญญาณเตือนภัยในบริเวณที่มีเครื่องสแกนโลหะ เช่น สนามบินหรือโรงงานที่มีระบบความปลอดภัยสูง
พื้นรองเท้ากันทะลุ (Puncture Resistant Sole)
เหมาะกับงานก่อสร้างและโรงงานอุตสาหกรรม โดยพื้นรองเท้าประเภทนี้ได้รับการออกแบบให้สามารถป้องกันการเจาะทะลุจากของมีคม เช่น ตะปู เศษเหล็ก หรือเศษแก้ว ที่อาจพบได้ในสภาพแวดล้อมการทำงาน พื้นรองเท้ากันทะลุส่วนใหญ่มักทำจากแผ่นเหล็กหรือแผ่นวัสดุสังเคราะห์ที่มีความแข็งแรงสูง เช่น เคฟลาร์ (Kevlar) ซึ่งให้ความยืดหยุ่นและมีน้ำหนักเบากว่าเหล็ก ช่วยให้ผู้สวมใส่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องตัว อีกทั้งยังช่วยป้องกันการลื่นไถลได้ดี จึงเหมาะสำหรับการใช้งานในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ไซต์ก่อสร้าง โรงงานอุตสาหกรรม และสถานที่ที่ต้องเผชิญกับของมีคมอยู่เสมอ
พิจารณาสภาพแวดล้อมการทำงาน
- งานก่อสร้าง: ควรเลือกรองเท้าเซฟตี้ที่มีหัวเหล็กหรือหัว Composite และมีแผ่นกันทะลุ เพื่อป้องกันการเจาะทะลุจากของมีคม เช่น ตะปูหรือเศษโลหะที่อาจกระจายอยู่ตามพื้นไซต์ก่อสร้าง ควรเลือกรองเท้าที่มีพื้นรองเท้าทำจากวัสดุทนทานและกันลื่นได้ดี เพื่อลดความเสี่ยงจากการลื่นไถลในสภาพแวดล้อมที่อาจมีฝุ่น เศษหิน หรือของเหลว นอกจากนี้ รองเท้าควรมีความสามารถในการรองรับแรงกระแทกที่ดีเพื่อปกป้องเท้าจากวัตถุที่ตกลงมา อีกทั้งยังควรเลือกแบบที่มีระบบระบายอากาศเพื่อลดความอับชื้นและเพิ่มความสบายในการสวมใส่ระหว่างการทำงานเป็นเวลานาน
- งานไฟฟ้า: ควรเลือกรองเท้าที่มีคุณสมบัติ EH (Electrical Hazard) เพื่อป้องกันไฟฟ้ารั่วไหล และลดความเสี่ยงจากกระแสไฟฟ้าสถิต รองเท้าประเภทนี้ถูกออกแบบมาให้มีพื้นรองเท้าทำจากวัสดุที่เป็นฉนวนไฟฟ้า ป้องกันไม่ให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากสำหรับช่างไฟฟ้า วิศวกรไฟฟ้า หรือผู้ที่ทำงานใกล้แหล่งพลังงานไฟฟ้า นอกจากนี้ ควรเลือกรองเท้าที่มีคุณสมบัติกันลื่นเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมที่มีพื้นเปียกหรือมีน้ำมันเจือปน
- งานอุตสาหกรรมเคมี: ควรเลือกรองเท้าที่มีคุณสมบัติกันสารเคมีและกันลื่น เพื่อป้องกันการสัมผัสกับสารเคมีที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อเท้า รองเท้าประเภทนี้ควรมีพื้นรองเท้าที่ทนต่อสารกัดกร่อน เช่น กรด ด่าง และตัวทำละลาย รวมถึงวัสดุภายนอกที่สามารถกันน้ำและของเหลวได้ดี เพื่อป้องกันไม่ให้สารเคมีซึมผ่านเข้าสู่ภายในรองเท้า นอกจากนี้ ควรเลือกพื้นรองเท้าที่มีความสามารถในการกันลื่นสูง เพื่อป้องกันการลื่นไถลบนพื้นเปียกหรือพื้นที่ที่อาจมีของเหลวหกอยู่เสมอ รองเท้าเซฟตี้สำหรับงานอุตสาหกรรมเคมียังควรมีระบบป้องกันไฟฟ้าสถิต (ESD) เพื่อป้องกันประกายไฟที่อาจเกิดขึ้นจากไฟฟ้าสถิต ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายในสภาพแวดล้อมที่มีสารไวไฟหรือสารเคมีระเหยได้
ความสบายและการสวมใส่
- ควรเลือกขนาดที่พอดีกับรูปเท้า ไม่คับหรือหลวมจนเกินไป เพื่อป้องกันอาการเจ็บหรือเมื่อยล้าหลังจากการสวมใส่เป็นเวลานาน อีกทั้งควรเลือกรองเท้าที่มีซับในที่รองรับแรงกระแทกได้ดี เช่น แผ่นรองพื้นแบบ EVA หรือโฟมเมมโมรีโฟม ซึ่งสามารถช่วยลดแรงกดทับและเพิ่มความสบายให้กับผู้สวมใส่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องยืนหรือเดินเป็นเวลานานในแต่ละวัน นอกจากนี้ การเลือกรองเท้าที่มีระบบระบายอากาศที่ดี เช่น วัสดุที่สามารถระบายความร้อนได้ จะช่วยลดความอับชื้นและป้องกันกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้อีกด้วย
- มีระบบระบายอากาศที่ออกแบบมาให้ช่วยลดความร้อนสะสมภายในรองเท้า โดยใช้วัสดุที่สามารถถ่ายเทอากาศได้ดี เช่น ผ้าตาข่าย หรือเทคโนโลยีช่องระบายอากาศที่ช่วยให้อากาศหมุนเวียน ลดการอับชื้นและกลิ่นไม่พึงประสงค์ ทำให้สามารถสวมใส่ได้เป็นเวลานานโดยไม่รู้สึกอึดอัดหรือร้อนจนเกินไป
การเลือก รองเท้าเซฟตี้ ที่ได้มาตรฐานเป็นสิ่งสำคัญเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้งาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยง มาตรฐานสากลเช่น ISO, CE และ ASTM เป็นตัวบ่งชี้ว่ารองเท้าคู่นั้นผ่านการทดสอบคุณภาพด้านความทนทาน การป้องกันอันตราย และการรองรับแรงกระแทก เพื่อให้แน่ใจว่าผู้สวมใส่สามารถทำงานได้อย่างมั่นใจ