Customers Also Purchased
ลูกปืน หรือ แบริ่ง (Bearing) เป็นอุปกรณ์สำคัญในงานซ่อมบำรุง เครื่องจักรกล และแม้แต่งาน DIY ที่ต้องการการหมุนที่ราบรื่นและลดแรงเสียดทาน ตั้งแต่จักรยาน มอเตอร์ไซค์ รถยนต์ ไปจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ลูกปืนเป็นชิ้นส่วนสำคัญที่ช่วยให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ แต่คุณเคยสังเกตไหมว่า บนตัวลูกปืน มักมีตัวเลขและรหัสที่ดูเหมือนเป็นเพียงชุดตัวเลขธรรมดา? แท้จริงแล้ว รหัสเหล่านี้บอกข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับขนาด ประเภท และคุณสมบัติเฉพาะของลูกปืนได้อย่างละเอียด บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจรหัสลูกปืนได้อย่างถูกต้อง และเลือกใช้งานให้เหมาะสมกับความต้องการของคุณมากที่สุด
ลูกปืน คืออะไร?
ลูกปืน (Bearing) คืออุปกรณ์ที่ทำหน้าที่รองรับหรือเสริมการหมุนของเพลา (Shaft) หรือชิ้นส่วนที่ต้องหมุนอยู่ตลอดเวลา ทำให้การหมุนมีประสิทธิภาพ ลดการเสียดสี และช่วยยืดอายุการใช้งานของเครื่องจักรและชิ้นส่วนอื่น ๆ ในระบบได้ โดยหลักการทำงานง่าย ๆ คือ การออกแบบให้มีลูกกลิ้ง หรือลูกบอล อยู่ภายใน ทำให้ส่วนที่ต้องหมุนไม่ได้เสียดสีกับผิวโลหะโดยตรง แต่จะมีลูกบอล/ลูกกลิ้งเป็นตัวหมุนคล้าย ๆ กับล้อเล็ก ๆ ที่คอยรับแรงและหมุนไปพร้อมกับเพลา
ทำความรู้จักโครงสร้าง รหัสลูกปืน เบื้องต้น
บนตัว ลูกปืน จะมีการระบุรหัสไว้เพื่อบอกชนิด ขนาด และคุณสมบัติเฉพาะต่าง ๆ โดยทั่วไป รหัสของลูกปืนจะมีรูปแบบที่เป็นมาตรฐานสากลตามระบบ ISO (International Organization for Standardization) หรือ DIN (Deutsches Institut für Normung) ซึ่งผู้ผลิตชั้นนำแทบทุกแบรนด์ (เช่น SKF, NSK, NTN, FAG, KOYO ฯลฯ) จะใช้รูปแบบคล้าย ๆ กัน ทำให้เราสามารถอ่านค่ารหัสได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นยี่ห้อใด
ตัวอย่างรหัสลูกปืนที่เห็นบ่อย ๆ เช่น 6203, 6305-2RS, 6004-ZZ เป็นต้น ซึ่งแต่ละหลักจะมีความหมาย ดังนี้
1. กลุ่มตัวเลขชุดแรก (เช่น 6, 62, 63)
- เป็นตัวเลขบอกประเภทและซีรีส์ของลูกปืน
- ตัวเลขหลักแรก เช่น “6” มักหมายถึงลูกปืนชนิดตลับลูกปืนเม็ดกลมร่องลึก (Deep Groove Ball Bearing) ซึ่งเป็นประเภทที่พบมากที่สุด
- บางครั้งอาจเจอ “7” สำหรับลูกปืนเม็ดกลมผนังบาง (Angular Contact) หรือ “2” สำหรับลูกปืนเม็ดกลมร่องลึกขนาดเล็กมาก เป็นต้น
หมายเหตุ: รหัสเหล่านี้เป็นมาตรฐานทั่วไปที่ใช้ในการระบุชนิดของตลับลูกปืน อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตแต่ละรายอาจมีการใช้รหัสเพิ่มเติมหรือแตกต่างกันเล็กน้อย ควรตรวจสอบข้อมูลจากผู้ผลิตหรือตัวแทนจำหน่ายเพื่อความถูกต้องและเหมาะสมกับการใช้งาน
2. ตัวเลขหลักรอง (เช่น 6203 ตัวเลข “2”)
- บ่งบอกซีรีส์ของขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง (Series) ว่าบาง กว้าง หรือหนักขนาดไหน
- หากเลขนี้มากขึ้นจะบ่งบอกว่าตลับมีความสามารถในการรับโหลด (น้ำหนัก/แรง) ได้มากขึ้น
3. ตัวเลขสองหลักสุดท้าย (เช่น “03” ใน 6203)
- บ่งบอกขนาดรูเพลา (Bore Diameter)
- โดยปกติเลข 00 = 10 มม., 01 = 12 มม., 02 = 15 มม., 03 = 17 มม. ฯลฯ
- หรือถ้าตัวเลขเกิน 04 ขึ้นไป มักจะคูณ 5 เข้าไปเพื่อได้ค่าเส้นผ่านศูนย์กลางของรูเพลา เช่น 05 = 25 มม. (5×5), 06 = 30 มม. (6×5) เป็นต้น
4. อักษร/สัญลักษณ์พิเศษต่อท้าย (เช่น -2RS, -ZZ, -C3, -NR ฯลฯ)
- บอกข้อมูลเพิ่มเติม เช่น ประเภทซีลปิดกันฝุ่น การเคลือบจารบีภายใน ระดับความคลอน (Clearance) หรือร่องสำหรับใส่แหวนล็อก (Snap Ring) เป็นต้น
หมายเหตุ: รหัสเหล่านี้เป็นมาตรฐานทั่วไปที่ใช้ในการระบุชนิดของตลับลูกปืน อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตแต่ละรายอาจมีการใช้รหัสเพิ่มเติมหรือแตกต่างกันเล็กน้อย ควรตรวจสอบข้อมูลจากผู้ผลิตหรือตัวแทนจำหน่ายเพื่อความถูกต้องและเหมาะสมกับการใช้งาน
ตัวอย่างการอ่านรหัสลูกปืนยอดฮิต
1. 6203-2RS
- “6” = ลูกปืนเม็ดกลมร่องลึก (Deep Groove)
- “2” = ซีรีส์รับโหลดที่มากขึ้นเล็กน้อย
- “03” = ขนาดรูเพลา 17 มม.
- “2RS” = ซีลยางสองด้าน
- เหมาะกับงานหมุนทั่วไปที่ต้องการกันฝุ่น กันน้ำมัน และใช้รอบปานกลางถึงสูง
2. 6305-ZZ
- “6” = ลูกปืนเม็ดกลมร่องลึก
- “3” = ซีรีส์รับโหลดได้มากกว่า (ใหญ่กว่า “2”)
- “05” = ขนาดรูเพลา 25 มม. (5×5)
- “ZZ” = ฝาปิดโลหะสองด้าน
- เหมาะกับงานอุตสาหกรรมทั่วไป ระบายความร้อนดี แต่กันฝุ่นปานกลาง
3. 6004
- “6” = ลูกปืนเม็ดกลมร่องลึก
- “0” = ซีรีส์ที่บางกว่า
- “04” = รูเพลา 20 มม. (4×5)
- ไม่มีสัญลักษณ์ต่อท้าย แปลว่าแบบเปิดโล่ง (Open Type) ไม่ได้ซีลหรือฝาปิด
ประโยชน์ของการเข้าใจรหัสลูกปืน
- เลือกซื้อลูกปืนได้ถูกต้อง: เมื่อรู้ว่าอุปกรณ์หรือเครื่องจักรของคุณต้องการลูกปืนรูเพลากี่มิลลิเมตร ซีรีส์ไหน ต้องมีซีลปิดหรือฝาโลหะหรือไม่ คุณก็สามารถสั่งซื้อหรือหาอะไหล่ทดแทนได้ถูกต้องตามรุ่น
- วางแผนงานซ่อมบำรุงได้ง่าย: การอ่านค่ารหัสได้ ช่วยลดการสับสนเมื่อต้องทำงานกับเครื่องจักรหลายชนิด พร้อม ๆ กัน หรือเมื่อเกิดปัญหาต้องเปลี่ยนอะไหล่เร่งด่วน
- ประหยัดต้นทุน: การรู้รหัสและสเปก ช่วยให้คุณเลือกใช้ลูกปืนคุณภาพเหมาะสมกับงาน ไม่ต้องเผื่อเกินความจำเป็น และลดโอกาสซื้อลูกปืนผิดประเภทที่ทำให้อายุการใช้งานสั้นหรือเสียหายได้
- สะดวกในการปรับปรุง/อัปเกรด: หากเข้าใจเรื่องระดับความคลอน (C3, C4) หรือชนิดซีล คุณสามารถอัปเกรดไปใช้ลูกปืนที่ทนรอบสูงขึ้นหรือเหมาะกับสภาพแวดล้อมมากขึ้นได้
เคล็ดลับการดูแลลูกปืนให้ใช้งานได้นาน
- หมั่นตรวจเช็กสารหล่อลื่น: ไม่ว่าจะเป็นจาระบี (Grease) หรือน้ำมัน (Oil) ต้องตรวจสอบว่ามีปริมาณเพียงพอและคุณภาพยังดีอยู่หรือไม่ หากแห้ง หรือเปลี่ยนสีผิดปกติ ควรทำความสะอาดแล้วเปลี่ยนใหม่
- ไม่ใช้งานเกินขีดจำกัดรอบ: ลูกปืนแต่ละรุ่นจะมี Maximum RPM (รอบหมุนต่อนาที) ที่รองรับได้ หากใช้งานเกินกำหนดตลอดเวลาอาจทำให้ลูกปืนเสื่อมสภาพเร็วขึ้น
- หลีกเลี่ยงฝุ่นและน้ำเข้า: โดยเฉพาะลูกปืนที่เป็นแบบเปิด (Open Type) หากเป็นไปได้ให้เลือกใช้แบบซีลยาง (2RS) หรือฝาปิดโลหะ (ZZ) เพื่อยืดอายุการใช้งาน
- ตรวจเช็กอุณหภูมิขณะทำงาน: หากลูกปืนร้อนผิดปกติ แสดงว่าอาจมีปัญหาการหล่อลื่น หรือมีโหลดเกิน ควรหยุดใช้งานและตรวจสอบทันที
- สรุป
รหัสลูกปืน (Bearing Code) ไม่ได้เป็นแค่ชุดตัวเลขหรือตัวอักษรที่ไร้ความหมาย แต่เป็นภาษาเฉพาะที่บอกข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับชนิด การรับโหลด ขนาดรูเพลา ไปจนถึงลักษณะซีลหรือฝาปิด ภายในรหัสไม่กี่ตัวนี้สามารถบอกได้ว่าลูกปืนตัวนั้นออกแบบมาเพื่อรองรับงานแบบใด รอบหมุนประมาณไหน เหมาะกับสภาพแวดล้อมแบบใด การเข้าใจวิธีการถอดรหัสเหล่านี้จึงเป็นประโยชน์อย่างมาก ทั้งด้านการซ่อมบำรุง การเลือกซื้อ และการอัปเกรดอุปกรณ์ให้ตอบโจทย์ที่สุด หากครั้งหน้าเจอลูกปืนที่มีตัวเลขและอักษรคุ้นตา อย่าลืมลองอ่านสเปกพื้นฐานเหล่านี้ดู จะช่วยให้คุณเลือกใช้อย่างมั่นใจ ไร้กังวล ไม่ผิดไซส์ ไม่ผิดซีล และแน่นอนว่าจะช่วยให้การทำงานของเครื่องจักรหรืออุปกรณ์คุณลื่นไหล ยืดอายุการใช้งานและยังประหยัดต้นทุนในระยะยาวอีกด้วย
หวังว่าบทความนี้จะช่วยไขข้อสงสัยและเป็นประโยชน์ให้กับทุกท่านที่สนใจเรื่องลูกปืนหรือมีแผนต้องเปลี่ยน/ซื้ออะไหล่ลูกปืนในอนาคต อย่าลืมนำความรู้นี้ไปแบ่งปันเพื่อนร่วมงานหรือคนใกล้ตัว เพื่อให้สามารถเลือกใช้ลูกปืนได้เหมาะสมและยืดอายุการใช้งานอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพนะคะ!