Customers Also Purchased
ในแวดวงของเครื่องมือช่างที่เต็มไปด้วยตัวเลือกหลากหลาย การเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมได้กลายเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความเข้าใจ และพิจารณาอย่างรอบคอบ หนึ่งในคำถามที่คนทั่วไปมักสงสัยคือ บล็อกไฟฟ้า มาตรฐาน และ บล็อกกระแทก แตกต่างกันอย่างไร? เครื่องมือไฟฟ้าทั้งสองนี้มีบทบาทสำคัญในงานขัน และคลายน็อต โบลต์ และสกรู แต่ในขณะเดียวกันก็มีลักษณะการทำงาน จุดเด่น และข้อจำกัดที่แตกต่างกันออกไป เพื่อช่วยให้คุณเข้าใจความแตกต่างนี้ และสามารถเลือกใช้เครื่องมือได้อย่างเหมาะสม บทความนี้จะพาคุณสำรวจรายละเอียดของบล็อกไฟฟ้า และบล็อกกระแทกพร้อมให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเลือกใช้งาน บล็อกไฟฟ้าทั้งสองประเภทนี้อย่างเหมาะสม
ลักษณะการทำงาน
บล็อกไฟฟ้า (Electric Wrench) เป็นเครื่องมือที่ใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อนมอเตอร์เพื่อขันหรือคลายสกรู น็อต และโบลต์ ตัวเครื่องมีระบบการหมุนต่อเนื่องโดยไม่มีแรงกระแทกเพิ่มเข้ามา การออกแบบนี้ทำให้บล็อกไฟฟ้าเป็นเครื่องมือที่เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความละเอียด และการควบคุมแรงบิดที่ดี เช่น งานติดตั้งเครื่องจักร งานประกอบเฟอร์นิเจอร์ หรือการใช้งานในบ้านทั่วไป ลักษณะการทำงานของบล็อกไฟฟ้านั้นเน้นความเงียบ และความราบรื่น ไม่มีเสียงกระแทกหรือแรงสั่นสะเทือนสูงเหมือนเครื่องมือหลายประเภท นอกจากนี้บล็อกไฟฟ้ายังมีน้ำหนักเบากว่า ทำให้ง่ายต่อการพกพาและใช้งานในพื้นที่จำกัด

ในทางกลับกัน บล็อกไฟฟ้าแบบกระแทก (Electric Impact Wrench) เป็นเครื่องมือที่พัฒนาขึ้นสำหรับงานหนักที่ต้องการแรงขัน หรือคลายสูงมาก ตัวเครื่องใช้ระบบ หรือกลไกกระแทก (Impact Mechanism) เพื่อเพิ่มแรงบิดในระยะสั้น กลไกนี้ทำงานโดยการสร้างแรงกระแทกเป็นจังหวะร่วมกับการหมุน ทำให้สามารถขันหรือคลายน็อตที่ติดแน่นหรือขึ้นสนิมได้อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้งานบล็อกกระแทกจึงเหมาะสำหรับงานที่ต้องการพลังสูง เช่น การถอดล้อรถ งานซ่อมบำรุงอุตสาหกรรม หรือการก่อสร้างโครงสร้างหนัก
แรงบิด และพลังงานที่ใช้
แรงบิด (Torque) เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยในการแยกประเภทระหว่างบล็อกไฟฟ้า และบล็อกกระแทก ในขณะที่บล็อกไฟฟ้าสามารถสร้างแรงบิดได้ประมาณ 100-300 นิวตันเมตร บล็อกกระแทกนั้นสร้างแรงบิดได้สูงถึง 400-1,000 นิวตันเมตร หรือมากกว่า อย่างไรก็ตาม แรงบิดที่แต่ละเครื่องมือสามารถสร้างได้อาจแตกต่างไปตามยี่ห้อ และรุ่นเฉพาะ คุณควรตรวจสอบข้อมูลจากผู้ผลิตหรือคู่มือการใช้งานของรุ่นที่คุณสนใจเพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องมือเหมาะสมกับงานที่คุณต้องการ หากงานของคุณต้องการแรงในการขันหรือคลายสูง เช่น การถอดน็อตล้อรถที่ถูกยึดแน่นจากโรงงาน บล็อกกระแทกจะตอบโจทย์ได้ดีกว่า
ในด้านพลังงาน บล็อกไฟฟ้าส่วนใหญ่ใช้พลังงานจากไฟบ้าน หรือแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ที่มีความจุสูง โดยแบตเตอรี่ในรุ่นใหม่ ๆ สามารถใช้งานได้ยาวนาน และชาร์จได้อย่างรวดเร็ว ส่วนบล็อกกระแทกก็มีให้เลือกทั้งแบบใช้ไฟฟ้าจากไฟบ้าน และจากแบตเตอรี่ สามารถให้แรงบิดที่สูงใกล้เคียงกับบล็อกกระแทกแบบลม (Pneumatic Impact Wrench) และเหมาะกับงานในโรงงานหรืออู่ซ่อมรถยนต์
ปัจจุบันนี้มีเครื่องมือหลายรุ่น ที่ถูกระบุว่าเป็นบล็อกกระแทก (Impact Wrench) แม้มีแรงบิด ต่ำกว่า 300 นิวตันเมตร โดยพวกนี้อาจมีระบบกระแทกในตัว ทั้งนี้เพราะผู้ผลิตส่วนใหญ่มักเน้นทำการตลาดเครื่องมือประเภทบล็อกกระแทก เนื่องจากมีความนิยม และใช้งานได้หลากหลาย เรียกได้ว่าบล็อกไฟฟ้าส่วนใหญ่ก็เป็นบล็อกที่มีระบบคล้ายระบบกระแทก โดยบล็อกไฟฟ้าธรรมดา (หรือที่เรียกว่า Torque Wrench แบบไม่มีระบบกระแทก) มักใช้ในงานเฉพาะ เช่น การขันแบบควบคุมแรงบิดในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือการประกอบงานที่ต้องการความละเอียดสูง
การออกแบบและความสะดวกในการใช้งาน
บล็อกไฟฟ้า มีการออกแบบที่เรียบง่าย และน้ำหนักเบากว่าบล็อกกระแทก โดยเน้นความสะดวกในการถือจับและการใช้งานต่อเนื่องในระยะเวลานาน ผู้ใช้งานจะไม่รู้สึกเมื่อยล้าหรือได้รับผลกระทบจากแรงสั่นสะเทือนมากนัก ข้อดีนี้ทำให้บล็อกไฟฟ้าเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้ใช้งานทั่วไป และงานที่ต้องการความละเอียดอ่อน เช่น การขันน็อตในเฟอร์นิเจอร์หรือการติดตั้งชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
ในทางตรงกันข้าม บล็อกกระแทก ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับงานหนัก โครงสร้างของเครื่องจึงมักมีความทนทาน และแข็งแรงมากขึ้น ตัวเครื่องมีน้ำหนักมากกว่าเล็กน้อย แต่ในขณะเดียวกันก็มีการเพิ่มคุณสมบัติเพื่อช่วยลดแรงสะท้อนกลับ (Kickback) เช่น ระบบจับยึดที่กระชับ และวัสดุกันลื่น นอกจากนี้ยังมีเสียงดัง และแรงสั่นสะเทือนสูงกว่าบล็อกไฟฟ้า ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดสำหรับการใช้งานในพื้นที่ที่ต้องการความเงียบหรือการควบคุมแรงสั่นสะเทือน
ข้อดีและข้อเสียของบล็อกไฟฟ้า
ข้อดี:
- น้ำหนักเบาและพกพาสะดวก
- ใช้งานง่าย ไม่ต้องการการดูแลรักษามาก
- เสียงเบา เหมาะสำหรับงานภายในอาคารหรือพื้นที่ที่ต้องการความเงียบ
- ราคาประหยัดกว่าเมื่อเทียบกับบล็อกกระแทก
ข้อเสีย:
- แรงบิดต่ำกว่า ไม่เหมาะสำหรับงานหนักหรืองานที่ต้องการพลังสูง
- ไม่สามารถใช้งานกับน็อตที่ติดแน่นหรือขึ้นสนิมได้ดีเท่าบล็อกกระแทก
ข้อดีและข้อเสียของบล็อกไฟฟ้าแบบกระแทก
ข้อดี:
- แรงบิดสูงมาก เหมาะสำหรับงานหนัก
- สามารถคลายน็อตที่ติดแน่นหรือน็อตขึ้นสนิมได้ง่าย
- ตอบโจทย์งานที่หลากหลาย
ข้อเสีย:
- น้ำหนักมากกว่าและมีแรงสั่นสะเทือนสูง
- เสียงดัง อาจไม่เหมาะสำหรับการใช้งานในพื้นที่ที่ต้องการความเงียบ
- ราคาแพงกว่า โดยเฉพาะรุ่นที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
การเลือกใช้เครื่องมือให้เหมาะสมกับงาน
การเลือกใช้ระหว่างบล็อกไฟฟ้า และบล็อกไฟฟ้าประเภทกระแทกขึ้นอยู่กับประเภทงาน และความต้องการของผู้ใช้งาน หากคุณต้องการเครื่องมือสำหรับงานทั่วไป เช่น การประกอบชิ้นส่วนเฟอร์นิเจอร์ หรือการขันน็อตในงานบ้าน บล็อกไฟฟ้าอาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าเพราะใช้งานง่าย และมีราคาประหยัด แต่หากคุณต้องการเครื่องมือสำหรับงานหนัก เช่น งานซ่อมรถยนต์ การถอดล้อรถ หรืองานก่อสร้าง บล็อกกระแทกจะตอบโจทย์ได้ดีกว่า เนื่องจากมีพลังแรงบิดที่สูง และสามารถรองรับงานหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ตัวอย่างแบรนด์ และรุ่นแนะนำ
บล็อกไฟฟ้ามาตรฐาน:
- Makita TW0200 – เหมาะสำหรับงานทั่วไปและงานประกอบที่ต้องการความแม่นยำ
บล็อกกระแทก:
- Milwaukee M18 FHIW2F12-0 – รุ่นยอดนิยมในกลุ่มงานหนัก
- PUMA PM-233BL 20V – บล็อกกระแทกไร้สายที่ออกแบบมาสำหรับงานซ่อมรถยนต์และงานหนักโดยเฉพาะโดยเฉพาะ
- MAKITA DTW181Z 1/2 นิ้ว 18V – บล็อกไฟฟ้าไร้สาย น้ำหนักเบา เหมาะสำหรับงานขันและคลายน็อตทั่วไป
สรุป
การเลือกใช้ระหว่างบล็อกไฟฟ้า และบล็อกกระแทกนั้นไม่ได้มีคำตอบที่ตายตัว ในท้องตลาดทุกวันนี้บล็อกไฟฟ้าส่วนใหญ่ก็มีการระบุไว้ว่าเป็นบล็อกกระแทก ซึ่งในงานช่างโดยทั่วไปที่เน้นแรงไว้ก่อน คุณอาจไม่จำเป็นต้องคิดให้ปวดหัวว่า ควรใช้อะไรระหว่างบล็อกไฟฟ้าและบล็อกกระแทก สิ่งสำคัญที่สุดคือการเข้าใจความต้องการของตัวเอง และเลือกเครื่องมือที่ตอบโจทย์งานของคุณอย่างแท้จริง โดยดูเรื่องของแรงบิดของเครื่องมือ และคำแนะนำจากผู้ผลิต ไม่ว่าคุณจะเป็นช่างมืออาชีพหรือผู้ใช้งานทั่วไป การเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมจะช่วยให้การทำงานของคุณมีประสิทธิภาพ สะดวกสบาย และปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
เลือก บล็อกไฟฟ้า ให้เหมาะกับการใช้งาน