รหัสบน ลวดเชื่อม บอกอะไรกับเราบ้าง ?

Customers Also Purchased

เมื่อพูดถึง ลวดเชื่อม อุปกรณ์สำคัญในการเชื่อมและหลอมรวมโลหะสองชิ้นเข้าด้วยกันให้เป็นหนึ่งเดียวกัน หลายคนคงสังเกตุเห็นรหัสที่เป็นตัวอักษรบวกกับตัวเลขบนแท่งลวดเชื่อมพร้อมตั้งคำถามว่า รหัสเหล่านี้หมายถึงอะไร และมีความสำคัญต่อการเชื่อมอย่างไร ? ในบทความนี้เราจะมาไขความลับของรหัสเหล่านี้ไปพร้อม ๆ กัน เพื่อให้ได้รู้จักลวดเชื่อมมากขึ้น และเลือกใช้ได้อย่างถูกต้องตามวัตถุประสงค์

รหัสบนลวดเชื่อม (Welding Rod Codes) เป็นระบบการกำหนดมาตรฐานที่ช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจคุณสมบัติและการใช้งานของลวดเชื่อมได้อย่างแม่นยำมากขึ้น รหัสนี้จะประกอบไปด้วยตัวอักษรและตัวเลขที่ระบุประเภทของแท่งเชื่อม ความแข็งแรงของวัสดุ ตำแหน่งการเชื่อมที่เหมาะสม และชนิดของสารเคลือบหรือฟลักซ์ (Flux) การรู้จักรหัสเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกใช้อุปกรณ์ได้ตรงกับงาน เพื่อเพิ่มคุณภาพและความปลอดภัยในการเชื่อมโลหะ

ลวดเชื่อมมีการจัดประเภทตามคุณสมบัติและกำหนดรหัสตัวอักษรและตัวเลขตามลำดับ ซึ่งแต่ละส่วนมีความหมายดังนี้:

รหัสบน ลวดเชื่อม บอกอะไรกับเราบ้าง

1. ตัวอักษรต้นรหัสของลวดเชื่อม

ตัวอักษรต้นรหัสในลวดเชื่อมไม่ได้เป็นเพียงตัวอักษรทั่วไป แต่เป็นส่วนสำคัญที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับคุณสมบัติและการใช้งานของลวดเชื่อม ตัวอักษรเหล่านี้กำหนดประเภทและหน้าที่ของลวดเชื่อมที่ใช้ในงานเชื่อมแต่ละประเภท เพื่อช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกใช้ลวดเชื่อมได้อย่างเหมาะสม การเข้าใจตัวอักษรต้นรหัสเป็นสิ่งสำคัญในการเลือกใช้ลวดเชื่อมให้เหมาะสมกับประเภทของงานและลักษณะของวัสดุที่ต้องการเชื่อม นอกจากนี้ประเภทของลวดเชื่อมยังเป็นปัจจัยที่ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพและความปลอดภัยของงานเชื่อม ผู้ใช้ที่มีความรู้เกี่ยวกับตัวอักษรเหล่านี้จะสามารถเลือกใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมได้อย่างมั่นใจ และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการเชื่อมได้เป็นอย่างดี
ตัวอักษรตัวแรกแสดงถึงประเภทของลวดเชื่อม:
  • E: อิเล็กโทรด (Electrode) หมายถึงแท่งเชื่อมที่เป็นตัวนำกระแสไฟฟ้า
  • R: ลวดเชื่อมแบบเติม (Rod) ที่ทำหน้าที่เติมวัสดุ ไม่ใช่อิเล็กโทรดหรือลวดนำไฟฟ้า
  • ER: เป็นได้ทั้ง Electrode และวัสดุเติม เช่น ในการเชื่อมแบบ Flux-cored, MIG, หรือ MMA
  • RB: ลวดเชื่อม ที่ใช้ในกระบวนการเชื่อมประสาน (Brazing Rod)

2. ตัวเลขหลักที่สองหรือสามในรหัสของลวดเชื่อม

ตัวเลขสองหรือสามตัวแรกในรหัสของลวดเชื่อมสามารถบ่งบอกได้ถึงความแข็งแรงของแนวเชื่อมที่ลวดเชื่อมนั้นสามารถรองรับได้ โดยค่าความแข็งแรงนี้จะวัดในหน่วยพันปอนด์ต่อตารางนิ้ว (kPSI หรือ ksi) ตัวเลขนี้สำคัญต่อการเลือกใช้ลวดเชื่อมที่เหมาะสมกับการใช้งานเฉพาะด้าน เช่น งานโครงสร้าง งานเชื่อมโลหะหนัก หรือการซ่อมบำรุงชิ้นส่วนที่ต้องรับแรงสูง

ยกตัวอย่างเช่น:
E6010 มีความแข็งแรง 60,000 PSI และ E10018 มีความแข็งแรง 100,000 PSI

3. ตัวเลขตัวถัดไป (1, 2 หรือ 4)

ตัวเลขตัวถัดไปในรหัสของลวดเชื่อม ใช้เพื่อบ่งบอกถึงตำแหน่งการเชื่อม (Welding Position) ที่ลวดเชื่อมสามารถใช้งานได้ โดยตำแหน่งเหล่านี้มีความสำคัญต่อการเลือกใช้งานที่เหมาะสมตามลักษณะงาน เช่น เชื่อมในแนวราบ แนวตั้ง หรือเหนือศีรษะ

ตัวเลข 1:

หมายถึงลวดเชื่อมที่สามารถใช้ได้ในทุกตำแหน่ง (All Position) ใช้ได้ทั้งในแนวราบ (Flat) แนวตั้ง (Vertical) เหนือศีรษะ (Overhead) และแนวนอน (Horizontal)
ตัวอย่าง: E6010 และ E7018

ตัวเลข 2:

หมายถึงลวดเชื่อมที่เหมาะสำหรับงานในแนวราบ (Flat) และแนวนอน (Horizontal) เท่านั้น ไม่เหมาะสำหรับการเชื่อมในตำแหน่งแนวตั้งหรืองานเชื่อมที่ซับซ้อน

ตัวเลข 4:

หมายถึงลวดเชื่อมที่สามารถใช้งานได้ในหลายตำแหน่ง ได้แก่ แนวราบ (Flat) แนวนอน (Horizontal) แนวดิ่งลง (Vertical Down) และเหนือศีรษะ (Overhead)
เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความหลากหลายของตำแหน่ง แต่ไม่สามารถใช้ในแนวดิ่งขึ้น (Vertical Up) ได้
การเลือกตัวเลขนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของงานและตำแหน่งที่ต้องการเชื่อม เช่น งานเชื่อมโครงสร้างอาคารอาจจะต้องใช้ลวดเชื่อมที่เชื่อมได้ในทุกตำแหน่ง (เลข 1) เพื่อความคล่องตัวและความมั่นคงของแนวเชื่อม

4. ตัวเลขสุดท้าย (0 ถึง 8)

ตัวเลขสุดท้ายในรหัสลวดเชื่อม เช่น E6010 หรือ E7018 บ่งบอกถึง ชนิดของสารเคลือบหรือฟลักซ์ (Flux) และกระแสไฟฟ้าที่เหมาะสม (AC หรือ DC) รวมไปถึงลักษณะของลวด หรือ อาร์คเชื่อมระหว่างกระบวนการ เช่น การสร้างแนวเชื่อม และ การควบคุมวัสดุหลอมเหลว โดยจะสรุปคร่าว ๆ ได้จากตารางด้านล่าง

รหัสบน ลวดเชื่อม บอกอะไรกับเราบ้าง

รหัสลวดเชื่อมที่พบบ่อย

หากเรานำกฏ 80/20 มาใช้กับลวดเชื่อม ซึ่งหมายความว่า 80% ของงานเชื่อมจะทำด้วยลวดเชื่อมเพียง 20% ของลวดทั้งหมด ในความเป็นจริง แล้ว เนื่องจากมีลวดเชื่อมเฉพาะทางหลากหลายประเภท การใช้งานลวดเชื่อมจึงคล้ายกับกฎ 99/1 มากกว่า ในกระบวนการเชื่อมโดยทั่วไปจะมีลวดเชื่อมที่ใช้ในชีวิตประจำวันเพียงประมาณ 6 ชนิดเท่านั้นหากแบ่งตามรหัสของลวดเชื่อม ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้:
  • E6010: เป็นลวดเชื่อมที่นิยมใช้มากที่สุด ต้องใช้กระแสไฟฟ้ากระแสตรง (DC) และใช้อาร์คที่แคบ มักใช้ในงานเชื่อมเหล็กที่ต้องแทรกซึมลึก เช่น การสร้างเรือ, ถังเก็บเหล็ก และงานขนาดใหญ่
  • E6011: คล้ายกับ E6010 แต่สามารถใช้กับกระแสไฟฟ้ากระแสสลับ (AC) ได้ด้วย เป็นลวดเชื่อมที่ใช้ได้ดีกับวัสดุที่หนามาก และใช้งานง่ายดว่า E6010 แต่ข้อเสียคือรอยเชื่อมจะเรียบแบนและอาจมีคลื่น ทำให้ไม่สวยงามเท่าลวดเชื่อมอื่นๆ
  • E6012: รองรับทั้งกระแสไฟฟ้าสลับ (AC) และกระแสตรง (DC) เป็นลวดเชื่อมที่เหมาะสำหรับงานเชื่อมที่ต้องการตะกรันน้อยๆ สร้างอาร์คที่เสถียรและแทรกซึมตื้น เหมาะกับการซ่อมแซม งานเชื่อมเล็กๆ หรือการเชื่อมเหล็กคาร์บอนที่มีการเกิดออกซิเดชัน เป็นลวดเชื่อมชนิดที่สามารถสร้างรอยเชื่อมที่หนา ซึ่งอาจต้องมีการเจียรเพิ่มหลังจากเสร็จงานเชื่อม
  • E6013: เป็นลวดเชื่อมที่ใช้ได้ง่ายและเกิดฟองน้อย มักใช้ในงานเชื่อมที่มีการแทรกซึมปานกลางและวัสดุที่หนาปานกลาง เหมาะสำหรับงานเชื่อมที่ต้องการความสม่ำเสมอระหว่างการเชื่อมหลายๆ ครั้ง และการที่ต้องเคลื่อนย้ายตำแหน่ง
  • E7018: เป็นลวดเชื่อมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดและเป็นลวดเชื่อมที่ใช้ได้ดีในงานหลากหลายประเภท โดยเฉพาะในการเชื่อมเหล็กคาร์บอนต่ำถึงปานกลาง มีความแข็งแรงสูงกว่าลวดเชื่อม E60XX รวมไปถึงสารฟลักซ์บนลวดเชื่อมซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการเกิดการปนเปื้อนในรอยเชื่อม ลวดเชื่อมE7018 ใช้ในงานก่อสร้างและงานเชื่อมทั่วไป
  • E7024: ลวดเชื่อมชนิดนี้มีส่วนผสมของฟลักซ์ที่มีเหล็กสูง ซึ่งให้ความร้อนได้และการเติมที่เร็ว เหมาะสำหรับการเชื่อมที่ต้องการความเร็วสูง แต่มักมีปัญหาหากผู้ใช้ไม่เร็วตามหรือเชื่อมด้วยลวดชนิดนี้ช้าเกินไป ลวดE7024เหมาะสำหรับการเชื่อมที่มีผิวเรียบหรือผิวที่มีการพับเป็นคลื่นเล็กๆ

สรุป

รหัสบนลวดเชื่อมเป็นมาตรฐานที่ช่วยให้ผู้ใช้เลือกใช้งานลวดเชื่อมได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ โดยรหัสเหล่านี้ประกอบด้วยตัวอักษรและตัวเลขที่บ่งบอกถึงประเภทของลวดเชื่อม, ความแข็งแรงของวัสดุ, ตำแหน่งการเชื่อมที่เหมาะสม, และชนิดของสารปกคลุมหรือฟลักซ์ ที่ใช้ในกระบวนการเชื่อม การเข้าใจรหัสเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมกับประเภทงานและวัสดุได้อย่างแม่นยำ เพิ่มคุณภาพและความปลอดภัยในการเชื่อม